playinone.com
รีวิว บทความ หนัง ซีรีส์ Netflix สตรีมมิ่งทุกระบบ

รีวิว To All the Boys Always and Forever บทสรุปแด่ชายคนนั้น (ไม่สปอยล์ส่วนสำคัญ)

สรุป

ปิดฉากซีรีส์ภาพยนตร์แด่ชายทุกคนได้อย่างสมบูรณ์และอบอุ่น ดูได้ทุกเพศทุกวัย นักแสดงเล่นดี เคมีได้ ประเด็นเรื่องอาจจะไม่ใหม่ ใครดูสองภาค ต้องมาดูภาคนี้อย่างยิ่ง 

Overall
9/10
9/10
Sending
User Review
5 (1 vote)

Pros

  • บทมีความลื่นไหล ดูเพลิน จริงจัง และน่าติดตามตลอดกว่าสองชั่วโมง แถมยังไม่ทิ้งกิมมิกสำคัญอย่างความคลาสสิกและความร่วมสมัย
  • นักแสดงมีเสน่ห์กันทุกคน ไม่มีใครเป็นส่วนเกิน ไม่มีตัวละครหลักใหม่มาทำให้เรื่องวุ่นวาย และทำให้เราผูกพันตั้งแต่ต้นจนจบ
  • เคมีของโนอาห์กับลาน่ามันดีมาก ๆ
  • ประเด็นมากมายที่เติมโตขึ้นจากภาคก่อนมาก ๆ ครอบครัว ความสัมพันธ์ระหว่างคู่รัก เพื่อนฝูง ความฝัน
  • เพลงประกอบเพราะมาก ๆ ทุกเพลง เพลงที่แทรก และเพลงบรรเลง
  • มีการถ่ายทอดวัฒนธรรมเอเชีย (เกาหลี) และ วัฒนธรรมแบบอเมริกาตามธรรมเนียมซีรีส์
  • ปิดฉากเรื่องราวของไตรภาคอย่างเก็บรายละเอียด ใครดูมาแล้วทั้งสองภาค มาดูภาคนี้จะต้องยิ่งประทับใจ เพราะมันหยิบนำเอาสิ่งที่เกิดขึ้นในภาคก่อนหน้ามาใช้อย่างคุ้มค่า

Cons

  • พล็อตคาดเดาง่ายไปหน่อย
  • บางช่วงของหนังก็ง่าย ๆ สไตล์หนังรอมคอม
  • ตัวละครเก่า ๆ ที่เคยมีบทสำคัญหายไปเลย

ADBRO

To All the Boys Always and Forever แด่ชายทุกคนที่ฉันเคยรัก: ชั่วนิจนิรันดร ภาพยนตร์วัยรุ่นโรแมนติกคอเมดี้ ดัดแปลงจากซีรีส์หนังสือ To All the Boys ไตรภาคนิยายรักของ เจนนี่ ฮัน เป็นภาคต่อของ To All the Boys: P.S. I Still Love You แด่ชายทุกคนที่ฉันเคยรัก (ตอนนี้ก็ยังรัก) และเป็นภาพยนตร์ปิดไตรภาคด้วย โดยนี่ถือเป็นผลงานกำกับเรื่องที่ 2 ของ ไมเคิล ฟิโมญญารี ผู้กำกับจากภาคก่อน นำแสดงโดย ลาน่า คอนดอร์ และ โนอาห์ เซนตินีโอ ในบทของลาร่า จีน และ ปีเตอร์ คาวินสกี คู่รักที่ฝ่าฟันอุปสรรคตั้งแต่ความสัมพันธ์ที่เริ่มจากการเขียนจดหมายที่สร้างความวุ่นวายไปทั่ว แต่ก็ทำให้ทั้งคู่ได้ลงเอยคบกัน ไม่ว่าจะอุปสรรคใด ๆ พวกเขาก็ผ่านมาได้ตลอด เพราะพวกเขาได้เรียนรู้ในเรื่องความสัมพันธ์ที่แนบแน่นจนมาถึงภาคที่ 3 ที่อาจจะเป็นบทสรุปของทุกสิ่งทุกอย่าง

 To All the Boys: Always and Forever (2021) on IMDb

ความโดดเด่นของซีรีส์ภาพยนตร์เรื่องนี้คือ ตัวละครหลักเป็นสาววัยรุ่นลูกครึ่งอเมริกัน-เอเชีย ถือเป็นการเปิดโอกาสให้คนที่มีเชื้อสายนอกจากอเมริกันได้ออกมาโลดแล่น (ซึ่งแทบนับเรื่องที่คนเอเชียจะเด่นได้) มีเรื่องราวความรัก ความสัมพันธ์ อารมณ์ของการเล่าเรื่องที่มีความคลาสสิกและร่วมสมัยไปพร้อม ๆ กัน ซึ่งแตกต่างกับหนังวัยรุ่นทั่วไป  ซึ่งเป็นจุดเด่นที่มีมาตั้งแต่ภาคก่อน ๆ แล้วผมก็ชอบมันมาก ๆ จากที่ดูสองภาค แม้พล็อตอาจจะดูซ้ำซากแต่การเล่าเรื่องของมันก็มิติแล้วทำให้เราเห็นความสัมพันธ์ที่มีมิติระหว่างชายหญิง การสำรวจความสัมพันธ์ของตัวเอง และในขณะเดียวกันก็ยังสอนให้รักตัวเอง เปิดใจให้กับคนอื่น ซึ่งโดดเด่นเป็นพิเศษ นอกจากนี้ตัวละครรอบ ๆ นั้นมีความน่าสนใจตั้งแต่ต้นจนจบ แม้จะยอมรับว่าภาคสองมีดร็อปลงไปบ้าง แต่ก็ยังรักษามาตรฐานเดิมของมันได้อย่างดี และนักแสดงต่าง ๆ ก็ทำให้ความสัมพันธ์ความรักสุดวุ่นวายดูน่าติดตามและน่าเอาใจช่วยตั้งแต่ต้นจนจบ ไม่มีความน่ารำคาญหรือน่าหงุดหงิดสักเท่าไหร่ เพราะมันก็คือการสะท้อนวิวัฒนาการของตัวละครไปพร้อม ๆ กันด้วย 
“ชีวิตวัยรุ่นมีแค่ครั้งเดียว ก่อนที่จะต้องกลายเป็นผู้ใหญ่ เพื่อพบกับโลกใบใหม่ สำหรับลาร่า จีน นั้น มันหมายถึงความรักก็เช่นกัน เมื่อความสัมพันธ์รักอันหวานชื่นที่สามารถฝ่าฟันแม้เแต่ชายที่เธอเคยรักมาได้จนถึงปลายมัธยม  แต่แล้วทุกอย่างก็ต้องชะงักเมื่อแผนการที่เธอมีร่วมกับ ปีเตอร์ แฟนหนุ่มแสนน่ารักนั้น ไม่ได้เป็นอย่างที่หวังเมื่อเธอไม่สามารถเข้ามหาวิทยาลัยเดียวกับปีเตอร์ได้ ลาร่าจึงต้องตัดสินใจแล้วว่าเธอจะทำอย่างไรต่อไปในทัวร์ทัศนศึกษาในนิวยอร์กก่อนจบการศึกษา และสุดท้ายความรักนั้นจะสามารถประคับประคองให้อยู่ยั่งยืนไปชั่วนิรันดร์ แม้ว่าจะยังเป็นวัยรุ่นได้หรือไม่”

สำรวจรากเหง้าตัวตน และ สำรวจจุดมุ่งหมายใหม่

เรื่องราวของบทสรุปความรักของลาร่าจีน การเล่าเรื่องและบทกลับมาทำได้อย่างลื่นไหล เช่นเดียวกับภาคแรก เทียบกับปมในภาคสอง เรื่องนี้ดีกว่ามาก ๆ  และเหมือนจะให้ความสำคัญกับป๊อบ คัลเจอร์ (หรือวัฒนธรรมร่วมสมัย) ในเอเชียอย่างจัดเต็ม (การมีเพลงเคป๊อบจากวงดัง ๆ ทั้งนั้นเลย ไม่ว่าจะเป็นของวงระดับโลกอย่าง BLACKPINK ที่เปิดเน้นไปที่ท่อนของลิซ่า ลลิษา มโนบาล ซึ่งเป็นคนไทยเชื้อสายเอเชี่ยน วง Cherry Bullet และ วงที่ใครตามติ่งมาตั้งแต่รุ่นบุกเบิกก็ต้องไม่พลาดกับเพลงเปิดดังของวง Girl Generation) หนังพาเราไปสำรวจกรุงโซล ประเทศเกาหลี วัฒนธรรมต่าง ๆ ที่เป็นของลาร่าถูกนำเสนอออกมาแบบทัวร์พาท่องเที่ยวสลับกับการสำรวจชีวิตของลาร่า และใส่ปมต่าง ๆ เข้ามาให้เราขบคิดตามว่า ชีวิตของเราจะเป็นเหมือนเดิมชั่วนิรันดร์หรือไม่ ขณะเดียวกัน มีช่วงของการพาเราไปเที่ยวนิวยอร์กที่ถ่ายทำออกมาได้สวยงามและเป็นช่วงที่เรารู้สึกอบยิ้ม ที่ได้เห็นคนหลากชาติพันธุ์มากหน้าตาโผล่มา ทั้งในฐานะเพื่อน ที่ปรึกษา และคนธรรมดาที่มีชีวิตเป็นของตัวเอง ตั้งแต่ก่อนจบจนถึงวันจบการศึกษา ใครเคยผ่านการเรียนมัธยมคงอมยิ้มและนึกถึงช่วงเวลาที่คล้ายคลึงกับภาพยนตร์ด้วย

ความสัมพันธ์ที่ไปไกลกว่าเดิม 

สิ่งที่ชวนให้น่าติดตามมาก ๆ คือหนังจะไม่เน้นความรักจ๋า ๆ หรือหวานเจี๊ยบ รักหลายเส้าแบบภาคก่อน มันคือการเดินทางค้นหาตัวเองของตัวเอกว่าอยากจะทำอะไร อยากจะเป็นแบบไหน แต่ความรักก็ทำออกมาได้น่ารักและกำลังดีมาก ๆ ในแบบของวัยรุ่นที่กำลังเติบโตเป็นผู้ใหญ่ เรียกได้ว่าคนเป็นแฟนได้ดูก็คงรู้สึกได้เหมือนกันว่ามันมีช่วงเวลาที่เราไม่แน่ใจว่าความสัมพันธ์จะเป็นอย่างไร แต่การที่ได้อยู่ไปเรื่อย ๆ อาจจะมีความสุขแล้วก็ได้ แถมนี่เป็นเรื่องราวความสัมพันธ์ที่ค่อนข้างหนักหน่วงมาก ๆ อย่างไม่น่าเชื่อ มีเรื่องของเลิฟซีน เรื่องของเซ็กส์ที่ภาคก่อนยังไม่แตะ แต่รอบนี้คือเป็นปมสำคัญของเรื่องด้วยซ้ำ แต่ช่วงใกล้ท้าย ๆ ก็ทำให้เราคิดถึงตอนดูภาคแรก ที่มีการย้อนให้เห็นจุดเริ่มต้นและปิดฉากได้จนเราได้แต่คิดว่าชีวิตของตัวละครในเรื่องจะเป็นอย่างไรต่อไป เหมือนชีวิตคนเราที่มันไม่มีจุดสิ้นสุดด้วยซ้ำ แต่ความรักมันจะอยู่กับเราไปตลอดกาล เพียงแค่เราเลือกมัน เลือกคนที่หัวใจเลือก คนที่เรารักนั่นเอง

เปิดให้ตัวละครอื่นได้มีบทบาท และเดินเรื่องประเด็นหรือปมสำค้ญของตัวเอง

ในภาคก่อน ตัวละครเด่นมีแค่ไม่กี่คน ภาคนี้เลยพาเราไปเห็นชีวิตคนรอบตัวของลาร่าจีน เรื่องของปีเตอร์กับพ่อที่เคยทอดทิ้งไปของเขามาเป็นปมปัญหาสำคัญ เรื่องของคริสกับเทรเวอร์ เพื่อนสาวและแฟนหนุ่มของเธอที่อยู่ด้วยกันตั้งแต่ภาคแรกและคอยเป็นที่ปรึกษาให้กับลาร่า จีน กับความสัมพันธ์ที่อาจกระทบกับมิตรภาพ คิตตี้ น้องสาวผู้ร่าเริงของเธอที่แสดงถึงความเป็นวัยรุ่นที่เพิ่งจะได้มีความรัก หลังจากที่คอยสร้างเรื่องปั่นป่วนมาตั้งแต่ภาคแรก แต่คราวนี้เธอเข้ามาผลักดันความคิดและตัวละครลาร่า จีนไปไกลกว่านั้นอีก และความคิดของผู้หญิงที่อยากทำอะไรก็ได้ที่อยากทำ ความรักของพ่อลาร่า จีน กับทรีน่า ตัวละครใหม่จากภาคที่แล้ว บรรยากาศของวัยรุ่นสมัยวัยเรียน เราจะเห็นได้เห็นตัวละครวัยรุ่นได้เข้ามามีบทบาทของลาร่ามากกว่าภาคก่อน ๆ แต่สิ่งที่น่าเสียดายคือ ตัวละครจอช ที่มาแค่ภาคแรกภาคเดียว แล้วก็ไม่กลับมาอีกเลย แถมไม่มีการกล่าวถึงทั้งที่เป็นภาคสุดท้าย และเป็นเพื่อนสนิทกับลาร่า จีนแท้ ๆ กลับไม่ได้มาอยู่ร่วมเลย อาจเพราะเนื้อเรื่องอยากจะให้ความสำคัญกับประเด็นหลักจริง ๆ ทั้งอนาคต เรื่องของการรักตัวเอง การเปิดใจ และการปล่อยให้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ความรักในรักห่างไกล ซึ่งเป็นบทสรุปที่น่าประทับใจมากจริง ๆ ใครดูมาครบทุกภาค คงทั้งเสียดาย และดีใจที่เรื่องราวของซีรีส์หนังได้จบลงไปแล้ว แต่ชีวิตเราต้องเดินต่อครับ

องค์ประกอบของเรื่องนั้น ช่างสมบูรณ์แบบ

ด้วยความที่เมื่อบทให้ความสำคัญกับประเด็นและการเล่าเรื่อง มันจึงแทบไม่มีปัญหาหรือความน่ารำคาญของตัวละครที่เกินความจำเป็น กับเรื่องและมีเสน่ห์แทบทุกตัวละคร องค์ประกอบต่าง ๆ จึงเรียกได้ว่าสมบูรณ์ ทั้งนักแสดงที่ยังคีพบทได้ราวกับเป็นตัวละครนั้น ลาร่า จีนที่นำแสดงโดย ลาน่า คอนดอร์ ก็ยังมีเสน่ห์ น่ารัก น่าเอาใจช่วย และสวยในแบบของตัวเอง สามารถเป็นตัวเอกนำได้อย่างเต็มตัวแล้วหลังจากนี้ไป งานภาพออกมาเสริมเรื่องราวของหนัง ทั้งมุมกล้องที่มีความลงทุนมากกว่าเดิม จับได้หมดทุกประเด็น แถมเพลงที่ประกอบแต่ละเพลงคือเพลงดัง ๆ ทั้งจากของอเมริกาและเพลงเคป๊อบที่ใครได้ฟังเพลงมา คงต้องดีใจที่เพลงเหล่านี้มาอยู่ในหนัง รวมไปถึงดนตรีที่บรรเลงประกอบได้อย่างลงตัว เรียกได้ว่าเป็นหนังรักคุณภาพอีกเรื่องประจำเดือนกุมภาเลยทีเดียว แม้ว่าจะไม่ได้มีเนื้อเรื่องที่สามารถคาดเดาได้ยากเท่าไหร่ แต่การมีการเล่าเรื่องที่ไม่ออกนอกประเด็น สอดแทรกเรื่องราวของความรักหนุ่มสาวได้อย่างน่าสนใจ มันก็เพียงพอแล้วกับความยาวหนังที่ยาวที่สุดของไตรภาค นั่นคือ 1 ชั่วโมง 55 นาที

ควรชมหรือข้าม?

วาเลนไทน์ปีนี้ ผมขอแนะนำเลยครับ หนังรักคุณภาพดี ที่ดีกว่าภาคก่อนมาก มีประเด็นมากกว่าแค่ความรัก ไม่หวานเลี่ยน แต่ยังให้บทเรียนในการใช้ชีวิต ความรักที่แสนสดใสและบริสุทธิ์ ปราศจากความเป็นพิษ มีทั้งเพลงเพราะ ๆ ให้ฟัง และงานถ่ายภาพท่องเที่ยวระหว่างเรื่องของนิวยอร์กกับกรุงโซลก็คุ้ม ผมบอกได้เลยว่าอวยเรื่องนี้ได้อย่างไม่อายปาก มันเป็นภาคจบที่สรุปเรื่องราวของความสัมพันธ์ได้อย่างดีเยี่ยม อาจจะไม่ได้ใหม่จ๋า เพราะดัดแปลงจากนิยายรัก แต่มันก็ทำหน้าที่ของมันได้ดี มีหลายรสชาติ เหมือนกับชีวิตคนเราที่ไม่ได้มีแค่มิติเดียว แต่ยังมีหลายแง่มุมให้สำรวจ และผมหวังว่าใครที่มีแฟน หรือ กำลังรักใครสักคน ผมอยากจะบอกว่า รักไปเลย อย่ารีรอ อย่ากลัว เพราะความรักนั้นคือสิ่งที่ใครหลายคนเฝ้าหามาทั้งชีวิต และมันคือสิ่งที่มอบพลังบวกในการเดินหน้าต่อไป จะผิดหวังหรือสมหวัง ลงเอยหรือไม่ ก็ขอให้รักกันเข้าไว้นะครับ นั่นแหละคือชั่วนิจนิรันดร์ เหมือนกับที่หนังเรื่องนี้สรุปให้เราเลย 

ตัวอย่างล่าสุด To All the Boys: Always and Forever แด่ชายทุกคนที่ฉันเคยรัก: ชั่วนิจนิรันดร

 

สามารถชมได้แล้วที่ NETFLIX ไม่ควรพลาดครับ

  • ติดตามเรื่องราวที่น่าสนใจในแวดวงเกม รีวิวภาพยนตร์ ซีรีส์ และ อนิเมะ ได้ ที่นี่
  • ติดตามผลงานของผม Thousand Mar ได้ ที่นี่
The Devil’s Hour ช่วงเวลาปีศาจ ตี 3.33 นาที ที่เต็มไปด้วยเรื่องเซอร์ไพรส์เกินคาด!