รีวิว WHAT IF…? สมมติว่า ความจริงใน MCU ไม่ได้มีเพียงหนึ่งเดียว (ไม่สปอยล์)
WHAT IF…?
-
คะแนน EP 1 "What If... Captain Carter Were The First Avenger?" - 7.5/10
7.5/10
-
คะแนน EP 2 "What If... T'Challa Became a Star-Lord?" - 7/10
7/10
-
คะแนน EP 3 "What If... the World Lost Its Mightiest Heroes?" - 8/10
8/10
-
คะแนน EP 4 "What If... Doctor Strange Lost His Heart Instead of His Hands?" - 8.5/10
8.5/10
-
คะแนน EP 5 "What If... Zombies?!" - 6.5/10
6.5/10
-
คะแนน EP 6 "What if Killmonger Rescued Tony Stark?" - 7.5/10
7.5/10
-
คะแนน EP 7 "What If... Thor Were an Only Child?" - 7/10
7/10
-
คะแนน EP 8 "What If... Ultron Won?" - 8/10
8/10
-
คะแนน EP 9 "What If... The Watcher Broke His Oath?" - 8.5/10
8.5/10
สรุป
อะไรก็เกิดขึ้นได้แล้วในจักรวาลมาร์เวล อนิเมชั่นซีรีส์แปดตอนจากมาร์เวลที่ดีทั้งในด้านของงานภาพและประเด็นใหม่และมุมมองที่แตกต่างจากภาพยนตร์ แม้จะต้องพบเจอข้อเสียที่คิดว่าคงได้เจอไปตลอดทั้งซีซั่นแน่ ๆ คือความยาว และการเล่าเรื่องที่รวบรัดตัดตอนจากฉบับหนังของตัวละครนั้น ๆ จนจำเป็นต้องตามดูภาพยนตร์ในจักรวาลเป็นเรื่อง ๆ แต่ละตอนไปก่อน เหมาะสำหรับคนที่ติดตามจักรวาล MCU แต่คนทั่วไปก็สามารถดูอย่างเพลิดเพลินได้อยู่ เพราะซีรีส์ก็เล่าให้เข้าใจง่ายอยู่แล้ว พร้อมทั้งบทสรุปในสองตอนสุดท้ายที่ให้อารมณ์มากกว่าการเป็นเรื่องราวแยกเป็นตอน ๆ แต่มันคือเรื่องราวเดียวกันในทั้งจักรวาลของ MCU ที่คนดูหนังหรือซีรีส์ไม่ควรพลาด
Overall
7.6/10User Review
( vote)Pros
- งานอนิเมชั่นเซลสุดเจ๋งและมีเสน่ห์
- ประเด็นและมุมมองใหม่ที่ใส่เข้ามาอย่างพอดี
- ฉากแอ็คชั่นไม่เสียแรงกับมาร์เวล ดูเท่และเร้าใจ
- มีเสียงพากย์ไทยโดยทีมพากย์จากฉบับภาพยนตร์
Cons
- เนื้อหาถูกบีบอัดด้วยความยาวที่สั้น ทำให้เนื้อเรื่องถูกเล่าตัดสลับไวจนไม่อินกับเรื่องมากนัก
- ต้องตามดูภาพยนตร์ในแฟรนไชน์ MCU มาก่อนถึงจะเข้าใจมุกหรือเหตุการณ์
WHAT IF…? (วอทอิฟ สมมติว่า) ซีรีส์อนิเมชั่นอเมริกัน สร้างขึ้นสำหรับดิสนีย์+ โดยเอ. ซี. แบรดลีย์ เนื้อเรื่องอิงตามหนังสือการ์ตูนเครือมาร์เวลคอมิกส์ในชื่อเดียวกัน โดยเป็นซีรีส์เรื่องที่สี่ของดิสนีย์พลัสที่อยู่ในจักรวาลภาพยนตร์มาร์เวล (MCU) ซีรีส์ชุดนี้ผลิตโดยมาร์เวลสตูดิโอส์ และเป็นซีรีส์อนิเมชั่นเรื่องแรกของค่ายด้วย กำกับโดยไบรอัน แอนดรูวส์ โดยนี่เดินเรื่องต่อเนื่องกับสื่อในแฟรนไชส์ MCU เนื้อเรื่องเกิดขึ้นหลังจาก LOKI (โลกิ) ในปี 2019 ที่จะพาเราไปสำรวจความเป็นจริงที่แตกแขนงออกไปจากเดิมหรือพหุจักรวาลที่เกิดจากการกระทำของตัวละครสำคัญในช่วงท้ายของซีรีส์ และการปรากฏตัวของ เดอะ วอชเชอร์ ผู้เฝ้าดูจักรวาล ที่จะพาเราไปตั้งคำถามกับตัวเองถึงเหตุการณ์ที่เปลี่ยนไปจากเดิม ด้วยการสมมติว่าหากจักรวาลนอกเหนือจากเส้นเวลาศักดิ์สิทธิ์แล้ว ยังมีเส้นเวลาที่อาจก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงของเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นจากเหตุการณ์เดิมในภาพยนตร์ MCU
หลายคนคงคิดว่า มันคงเป็นแค่ซีรีส์การ์ตูนคั่นเวลารอซีรีส์เรื่องอื่นไม่มีความสำคัญ แต่มันไม่ใช่ครับ นี่คือซีรีส์ที่จะเชื่อมโยงเหตุการณ์ทุกอย่างในเฟส 4 หลังจากนี้เป็นต้นไป แม้ว่าจะไม่ได้นักพากย์จากเวอร์ชั่นภาพยนตร์กลับมาทุกคน หรือไม่ใช่ภาพยนตร์คนแสดง แต่ความเป็นจริงเหล่านี้ก็คือเนื้อเรื่องหลักในจักรวาล MCU อย่างเป็นทางการครับ โชคดีที่ประเทศไทยเรานั้นนักพากย์ยังเป็นทีมเดียวจากภาพยนตร์อย่างครบครัน เพราะงั้นเราจะมาดูกันสิว่า ในการสมมติว่าเหล่านี้ มันมีอะไรบ้างที่ถูกนำเสนอในรูปแบบของอนิเมชั่นเซล หรือ เฉดเซล (Cel–shading) ลักษณะการเรนเดอร์งานในคอมพิวเตอร์กราฟิกส์ชนิดหนึ่ง ให้มีลักษณะเหมือนภาพวาดในลักษณะหนังสือการ์ตูน ซึ่งจะให้อารมณ์ที่แตกต่างจากอนิเมชั่นทั่วไปครับ ก็มาดูว่าหนทางการเล่าเรื่องในจักรวาลใหม่นี้จะเวิร์คหรือเปล่า
ตัวอย่าง WHAT IF…?
รีวิว WHAT IF…? ซีรีส์ ตอนที่ 1 “What If… Captain Carter Were The First Avenger?”
วอชเชอร์เกริ่นนำว่า ในเส้นเวลาศักดิ์สิทธิ์ หรือ เหตุการณ์ในภาพยนตร์มหากาพย์อินฟินิตี้ (เฟส 1- เฟส 3 ของ MCU) กัปตันอเมริกา หรือ สตีฟ โรเจอร์ส คือ อเวนเจอร์สที่ 1 แต่ไม่ใช่กับในพหุจักรวาลที่เพ็กกี้ คาร์เตอร์ ทหารหญิงและคนรักของกัปตันอเมริกาตัดสินใจทำบางสิ่งที่แตกต่างออกไปและนั่นทำให้เธอได้ก้าวเข้าสู่โลกใบใหม่ โลกที่วีรสตรีได้ถือกำเนิดขึ้นเป็นครั้งแรกบนโลก และบทบาทของตัวละครที่เปลี่ยนไปจากเดิม ไม่ว่าจะเป็นการที่เพ็กกี้กลายเป็นกัปตัน คาร์เตอร์ ทำให้สตีฟ โรเจอร์ส กลายเป็นหุ่นสังหารไฮดร้า และบัคกี้กลายเป็นทหารธรรมดาที่ไม่ได้หายสาปสูญในการต่อสู้ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ระหว่างอเมริกาและเยอรมันที่นำโดยไฮดร้า และนำมาซึ่งจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญที่จะกระทบกับเส้นเวลาในเหตุการณ์ต่อ ๆ ไปในท้ายที่สุด
ในส่วนอนิเมชั่นตอนนี้ถือว่าเปิดตัวได้ดีมาก ๆ มีความเป็นสไตล์หนังสือการ์ตูนมาร์เวลแต่สามารถเคลื่อนไหวและให้สีภาพแบบสามมิติเวลาเห็นฉากแอ็คชั่นหรือต่อสู้ก็บู๊สะใจ บทบาทของตัวละครที่ถูกตีความใหม่แต่ยังอยู่ในสถานการณ์คล้ายกับภาพยนตร์ กัปตันอเมริกา: อเวนเจอร์ที่ 1 แนะนำให้ดูภาพยนตร์เรื่องดังกล่าวก่อนถึงจะเข้าใจอีสเตอร์เอ้กหรือความเชื่อมโยงบางอย่างด้วย นอกจากนี้ประเด็นของสิทธิสตรีและคนชายขอบถูกหยิบนำมาขยายมากขึ้น ทั้งตัวละครเพ็กกี้ที่ต้องเผชิญหน้ากับอคติของบุรุษที่มองว่าผู้หญิงเป็นเพศที่อ่อนแอไม่ควรเป็นทหาร หรือ เรื่องที่สตีฟกลายเป็นแค่คนขับชุดหุ่นไม่มีความเป็นฮีโร่ ซึ่งให้มุมมองที่แตกต่างไปจากเดิมแบบที่ไม่เคยมีในฉบับภาพยนตร์ แต่น่าเสียดายที่ตอนนี้เหมือนจงใจเล่าในฉากสำคัญมากกว่า ทำให้ในช่วงเวลาครึ่งชั่วโมงไม่สามารถมอบความเต็มอิ่มได้ เนื่องจากถูกบีบอัดให้ทันเวลาจนเรายังไม่อินกับเรื่องราวมากพอ คนดูทั่วไปอาจจะเฉย ๆ กับเหตุการณ์ในเรื่อง ต้องมาลุ้นว่าตอนต่อไปว่าจะตีความอย่างไรต่อไป
รีวิว WHAT IF…? ซีรีส์ ตอนที่ 2 “What If… T’Challa Became a Star-Lord?”
กาแล็กซี่นั้นอาจเป็นแค่จุดเล็ก ๆ ที่เรามองเห็น แต่สำหรับเดอะวอชเชอร์มันคือโลกและจักรวาลนับพันที่ร้อยเรียงแตกแขนงไปอย่างไม่สิ้นสุด ความเป็นจริงของมัลติเวิร์สอาจจะถูกกำหนดโดยอะไรเราก็ไม่อาจจะล่วงรู้ได้ เช่นเดียวกับ สตาร์ลอร์ด คือ ปีเตอร์ ควิลล์ ผู้ที่ถูกเล็งเป็นส่วนหนึ่งของทีมพิทักษ์จักรวาลในเวลาต่อมา แต่ทว่า อีกด้านนึง ทีชาล่า รัชทายาทของกษัตริย์แห่งวากานด้าที่อยากออกไปสำรวจโลกกว้างกลับถูกดึงไปสู่อวกาศจากความผิดพลาดของยอนดู ทีมราเวนเจอร์ ที่สั่งให้ลูกน้องออกปฏิบัติการลักพาตัวเขา และยี่สิบปีต่อมา ทีชาล่าก็กลายเป็น สตาร์ลอร์ด วีรบุรุษจักรวาลที่สามารถเปลี่ยนแปลงความเป็นจริงอันเลวร้ายของเส้นเวลาศักดิ์สิทธิ์ให้เป็นอีกแบบ แต่ทว่า เนบิวล่ากลับยื่นข้อเสนอให้ทีมทำภารกิจสุดอันตรายที่จะนำพาเขาไปสู่ความจริงอันเจ็บปวด และการยอมรับตัวตนที่แท้จริงมากกว่าที่ทีชาล่าจะเคยล่วงรู้
อนิเมชั่นก็ยังไหลลื่นและไม่ต่างอะไรกับตอนที่แล้ว ตอนนี้จะเป็นการไว้อาลัยและให้เกียรติแก่ตัวละครทีชาล่าของ “แชดวิก โบสแมน” นักแสดงนำเจ้าของบทบาทที่เสียชีวิตเพราะมะเร็งและมอบผลงานพากย์ในอนิเมชั่นนี้เป็นครั้งสุดท้ายที่จะทำให้คนที่รักเขา ได้เห็นอีกแง่มุมที่ไม่เคยเห็น แม้ว่าโครงเรื่องช่วงแรกอาจจะดูคล้าย รวมพันธุ์นักสู้พิทักษ์จักรวาล แต่เนื้อเรื่องแท้จริงกลับเป็นจินตนาการและเรื่องราวใหม่ทั้งหมดที่ทางผู้สร้างและผู้เขียนบทสามารถรังสรรค์ได้อย่างอิสระมากกว่าตอนก่อน ๆ อีกทั้งยังพ่วงไปด้วยอีสเตอร์เอ้กมากมายที่คนติดตามมาร์เวลจะต้องชอบ ทั้งบทบาทใหม่ของตัวละครที่คนไม่เคยดูหนังมาร์เวลก็อาจจะสามารถเข้าใจได้ง่ายกว่า และพล็อตเรื่องที่ทำออกมาได้สนุกและตื่นเต้นประสามาร์เวล มีความแอ็คชั่นโจรกรรมผสมมุกตลกที่ชวนให้ขำเบา ๆ แต่ด้วยคาร์แร็คเตอร์ของทีชาล่าที่มีแค่ปมเกี่ยวกับอดีตที่เกิดจากเรื่องราวที่ผิดพลาด มันเลยทำให้เขากลายเป็นตัวละครที่ไม่ค่อยมีอะไรให้ติดตามหรือสนใจเกี่ยวกับผลของจักรวาลมากนัก แถมด้วยความยาวที่สั้น เลยทำให้ตอนนี้ดูจืดไปกว่าตอนที่แล้ว อาจจะต้องรอดูกันต่อไป แต่ก็ยังเป็นอีกตอนที่สนุก และให้มุมมองใหม่มากกว่าตอนแรกแน่นอน
รีวิว WHAT IF…? ซีรีส์ ตอนที่ 3 “What If… the World Lost Its Mightiest Heroes?”
สิ่งมหัศจรรย์ในจักรวาลที่ค่อย ๆ คืบคลานเข้าคุกคามโลกที่เกิดขึ้นไล่เลี่ยกันภายใน 3 วัน สำหรับวอชเชอร์แล้ว มันคือ จุดเริ่มต้นของกำเนิดฮีโร่ที่ทรงพลังและคอยพิทักษ์โลก ทีมอเวนเจอร์ แต่สมมติว่าความจริงในอีกจักรวาลนึง เรื่องราวไม่ได้เป็นแบบนั้น เมื่อว่าที่สมาชิกของทีมอเวนเจอร์ที่นำโดย นิค ฟิวรี่ อย่าง โทนี่ สตาร์ก และ ธอร์ ถูกฆาตกรรมทีละคน แบล็ค วิโดว์ หรือ นาตาชาจึงต้องแข่งขันกับเวลาเพื่อตามหาให้ได้ว่าใครคือฆาตกร ก่อนที่โลกจะถูกยึดครองโดยภัยที่พกเขาไม่เคยคาดคิด โดยร่วมกับ ฮอวก์อายที่กลายเป็นส่วนหนึ่งของแผนการนี้ ร่วมกับ บรูซ แบนเนอร์จึงต้องหาทางเปิดโปงแผนการร้ายที่หวังทำลายหน่วยชิลด์และโลกให้สิ้นซาก ท่ามกลางการตามล่าจากคนทั้งโลก แบล็ค วิโดว์ได้พบกับสถานการณ์ที่บีบบังคับให้เธอต้องแลกทุกอย่างเพื่อความจริง แม้ว่ามันอาจจะนำมาซึ่งผลพวงที่คาดไม่ถึงก็ตาม
เรียกได้ว่าพอเข้าตอนที่สาม ก็กล้าเล่นมากขึ้นกับการเล่าเรื่องที่แปลกไปจากเดิม แบบที่ทุกคนคาดไม่ถึง แม้ว่าจะเป็นการหยิบนำฉากสำคัญของภาพยนตร์ที่เป็นจุดเริ่มต้นของ MCU อย่าง The Incredible Hulk (2008) มนุษย์ตัวเขียวจอมพลัง, Iron Man 2 (2010) มหาประลัยคนเกราะเหล็ก 2, Thor (2011) ธอร์ เทพเจ้าสายฟ้า มาตีความใหม่ให้เป็นแนวลึกลับฆาตกรรมแบบใครเป็นคนฆ่า ผ่านอนิเมชั่นที่ยังมีสไตล์ในแบบของตัวเองไม่ต่างจากตอนก่อน ๆ แต่เพิ่มด้วยบรรยากาศที่ไม่น่าไว้ใจ สเกลเล่นใหญ่ ให้คิดว่าใครกันแน่ที่เป็นผู้อยู่เบื้องหลังของเรื่องนี้ และเขาทำไปทำไม โดยจะเล่าเป็นวันจันทร์ถึงวันศุกร์ ภายใน 5 วันมีอะไรเกิดขึ้นมากมาย แถมพ่วงมาด้วยมุมมองตัวละครที่บทบาทถูกเปลี่ยนใหม่ให้น่าสนใจขึ้นเหมือนเดิม ตัวละครหลายตัวใน MCU ที่อาจจะไม่เคยมีบทมาก่อนในต้นฉบับ ก็ได้มีบทบาทสำคัญของเรื่องทีละเล็กทีละน้อย พล็อตเรื่องอาจจะไม่มีอะไรมากนอกจากการตามล่าหาฆาตกรกับเห็นฮีโร่ที่มีบทบาทในจักรวาล โดนฆ่าตายให้อึ้งเล่น แม้บทสรุปของเรื่องจะง่ายดายไปหน่อย แต่ก็ยังทิ้งท้ายไว้ขบคิดอย่างน่าสนใจ เรียกได้ว่าเป็นการตอกย้ำว่า การตีความสมมติครั้งนี้จะไปไกลกว่านี้อีก
รีวิว WHAT IF…? ซีรีส์ ตอนที่ 4 “What If… Doctor Strange Lost His Heart Instead of His Hands?”
หนึ่งทางเลือก หนึ่งการตัดสินใจ หนึ่งจักรวาล แค่หนึ่งการกระทำสามารถสร้างผลกระทบใหญ่ที่ไม่มีใครคาดถึงและยากจะแก้ไข เหมือนกับที่ สตีเฟ่น สเตรนจ์ หมอหนุ่มอนาคตใกล้ที่ในอีกจักรวาลนี้เขาเป็นคนรักของ คริสตีน และสูญเสียเธอจากอุบัติเหตุไป เธอผู้เป็นดั่งดวงใจได้ผลักดันให้เขาออกตามหาคำตอบและฝึกฝนจนกลายเป็นจอมเวทย์ผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดในจักรวาลที่สามารถช่วยโลกได้ แต่ทว่าหลังจากเหตุการณ์ ในวันครบรอบในวันที่คริสตีนเสียชีวิต สตีเฟ่นหรือด็อกเตอร์สเตรนจ์พยายามทำทุกวิถีทางเพื่อยับยั้งไม่ให้เกิดเหตุการณ์เลวร้ายในอดีต แม้จะได้รับคำเตือนจากคนรอบตัว แต่ดูเหมือนว่าหัวใจที่แสนเจ็บปวดและอ้างว้างผลักดันให้สตีเฟ่นได้พบกับความลับและความจริงของจักรวาลที่มนุษย์คนหนึ่งไม่เคยหยั่งถึงและเมื่อเขาถลำลึกลงไป เขาอาจจะต้องเตรียมใจรับผลการกระทำที่มีต่อทั้งจักรวาลจากพลังที่เขาสร้างขึ้นด้วย
เริ่มมาก็ไปไกลที่สุดอย่างที่คาด กับการเน้นความสัมพันธ์ระหว่างสตีเฟ่นกับคนรักที่พยายามทำทุกอย่างเพื่อให้ได้อยู่ด้วยกัน ซึ่งโครงเรื่องจะมาจากหนังเรื่อง Doctor Strange จอมเวทย์มหากาฬ ที่อนิเมชั่นจะเล่าตัดสลับจนมาถึงในช่วงท้าย ก่อนจะปรับเปลี่ยนเนื้อเรื่องด้วยการตัดสินใจใหม่ของตัวละครให้ไปสุดกว่าเดิม เรียกได้ว่าอันตรายและน่าสะพรึงมากกว่าตอนที่ผ่านมา ด้วยโทนเรื่องที่หม่นหมอง ดราม่า และไม่มีทีท่าว่าจะจบลงด้วยดี อนิเมชั่นในตอนนี้จะเป็นการโชว์พลังเวทย์ซึ่งบอกได้เลยว่าจัดเต็มทั้งสัตว์ประหลาด หรือ ทั้งสเกลที่ใหญ่และเข้มข้นที่สุด มิหนำซ้ำยังมีจุดหักมุมที่ให้ตกใจเล็ก ๆ ส่วนในเรื่องของบทสรุปของตอนนี้คือ พูดไม่ออก มันเป็นการโชว์ให้เห็นว่า หากเราตัดสินใจทำอะไรสุดโต่ง อยากจะเปลี่ยนแปลงสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ โดยไมสนใจผลที่ตามมา สุดท้ายแล้วก็จะไม่มีอะไรที่ช่วยเราได้ และเราต้องยอมรับผลการกระทำของตัวเอง เหมือนตัวละครในเรื่อง นี่จึงถือเป็นตอนที่ดีและเข้มข้น แถมยังตอบคำถามบางอย่างเรื่องของการไม่ชุบชีวิตตัวละครในจักรวาล MCU เพราะผลที่แสดงออกมาในเรื่อง มันร้ายแรงและน่ากลัวกว่าที่คาดไว้อีก
รีวิว WHAT IF…? ซีรีส์ ตอนที่ 5 “What If… Zombies?!”
ในจักรวาลนี้ บรูซ เวนเนอร์ มนุษย์ที่ซ่อนอยู่ในร่างมนุษย์เขียวร่างยักษ์ที่ได้รับการช่วยเหลือจากเหตุการณ์ร้าย กลับมาที่โลกของเขาและพบว่ามันไม่ใช่โลกที่เขารู้จักอีกต่อไป เมื่อเหตุร้ายบางอย่างได้นำพาไวรัสที่สามารถทำลายสมองและเปลี่ยนสิ่งมีชีวิตให้กลายเป็นซอมบี้ผีดิบกัดกินกันเอง บรูซจึงต้องร่วมมือกับฮีโร่ที่เหลือตั้งทีมเฉพาะกิจขึ้นมาจากผู้รอดชีวิตที่เหลือ ไม่ว่าจะเป็น สไปเดอร์แมน แฮปปี้ โฮแกน ผู้ช่วยโทนี่ สตาร์กที่กลายเป็นผู้รอดชีวิตร่วมกับเคิร์ก ชารอน คาร์เตอร์ เจ้าหน้าที่เก่าของหน่วยชิลด์ โอโคเย่ ทหารรับใช้หญิงของทีชาล่า โฮป มนุษย์ต่อที่สามารถขยายและย่อร่างกาย และ บัคกี้ เพื่อหาทางเพื่อจะเอายารักษาและปลดปล่อยทุกคนจากเชื้อไวรัสเหล่านี้ แต่พวกเขาจะต้องผ่านซอมบี้ที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นอเวนเจอร์ และความจริงอันน่าสะพรึงที่รอคอยพวกเขา และจะค่อย ๆ ฉีกพวกเขาออกจากกัน
ต้องบอกก่อนเลยว่า ถ้าคุณได้ดูหนังซอมบี้เช่น DAWN OF THE DEAD, ZOMBIELAND หรือแม้แต่ซีรีส์ WALKING DEAD คุณจะไม่ได้รับความแปลกใหม่อะไรของบทเลย นอกจากเห็นตัวละครมาร์เวลกลายมาเป็นตัวละครในโลกซอมบี้ฆ่ากันเองด้วยเหตุผลที่ละไว้ในฐานที่เข้าใจ ฉากแอ็คชั่นและมุกตลกสไตล์มาร์เวลและโทนเรื่องที่ดาร์กนิดหน่อยจากตอนที่แล้ว แต่ก็ไม่มีอะไรใหม่ และค่อนข้างน่าผิดหวัง เพราะมันเหมือนก๊อปส่วนประกอบต่าง ๆ ของหนังซอมบี้มาใช้ซึ่งอาจจะแปลกใหม่กับคนไม่เคยดูหนังซอมบี้ แต่สำหรับคนที่ชอบหนังซอมบี้ คุณก็จะเหมือนเห็นหนังเหมือนเดิมฉายซ้ำ และบทบาทของตัวละครหลักที่หยิบมาจาก มหาสงครามล้างจักรวาล และ แอนท์-แมน และ เดอะ วอสพ์ และเพิ่มเสริมเติมแต่งพล็อตให้จักรวาล นี่เป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นว่า คนเราไม่ควรอยากรู้ในสิ่งที่อยากรู้ หรือ ทะเยอทะยานในสิ่งที่ต้องการ และความประมาทอาจนำมาสู่หายนะ เหมือนกับตัวละครที่ทั้งเกี่ยวข้อง จนถึงไม่รู้อิโหน่อิเหน่เลย ถือเป็นตอนที่ช่วยผ่อนอารมณ์หม่นหมองจากตอนที่แล้ว แต่กราฟความสนุกนั้นดิ่งลงมากกว่าตอนที่ผ่าน ๆ มาอย่างมากเลยทีเดียว
รีวิว WHAT IF…? ซีรีส์ ตอนที่ 6 “What if Killmonger Rescued Tony Stark?”
จุดเริ่มต้นหากมีการเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อย ก็อาจจะทำให้ผลลัพธ์นั้นเปลี่ยนไปตลอดกาลเหมือนกับโทนี่ สตาร์กที่เหตุการณ์ที่อัฟกานิสถานจะผลักดันเขาให้เป็นไอรอนแมน ส่วนหนึ่งของอเวนเจอร์ส ผู้เคยปกป้องโลก แต่ไม่ใช่กับจักรวาลนี้ที่คิลมังเกอร์ปรากฏตัวและช่วยเหลือโทนี่ไว้ ทำให้โทนี่ไม่ต้องเป็นไอรอนแมนและเขาก็ได้กลายเป็นเพื่อนสนิทกัน ในขณะที่คนรอบตัวยังระแคะระคายในจังหวะที่ลงตัวอย่างน่าประหลาด ก็เกิดคดีฆาตกรรมขึ้นระหว่างการทำภารกิจและผลักดันให้สตาร์กต้องผลิตอาวุธขั้นสุดยอดอย่าง โดรน ไวเบรเนี่ยม แต่ทว่ามันจะทำให้โทนี่และบริษัทต้องเข้าไปพัวพันกับพ่อค้าอาวุธมืด และปริศนาของเมืองวากานด้าที่สาปสูญในแผนที่โลก ด้วยความช่วยเหลือจากคิลมังเกอร์ทำให้โทนี่มีอำนาจมากกว่าเดิม แผนการอันแยบยลที่ซุกซ่อนความชั่วร้ายกำลังจะสั่นคลอนทั้งโลก เมื่อมีคนที่ฉลาดกว่าปรากฏตัวและปั่นป่วนโลก อาจถึงเวลาที่โทนี่กับคิลมังเกอร์ต้องร่วมมือกันเพื่อหาทางหยุดยั้งเรื่องร้ายเหล่านี้ให้ได้ ก่อนจะสายไป
หลังจากที่ตอนก่อนทำให้ผิดหวัง มาคราวนี้เล่นประเด็นจริงจังและแยบยลผ่านจุดเริ่มต้นของภาพยนตร์ MCU อย่าง ไอรอนแมน ดาร์กต่อผลลัพธ์ช่างน่าเศร้าและสลดใจ ความแปลกใหม่ที่คุณจะได้เห็นหลังจากเริ่มเรื่องด้วยโศกนาฏกรรมและแผนการร้ายที่แยบยลสุด ๆ แทบไม่มีใครได้ล่วงรู้ แถมยังฆ่าตัวละครหลักในจักรวาลตายแบบไม่สนใจถึงความสำคัญให้ช็อคกันเล่น ๆ มิหนำซ้ำยังเติมแต่งด้วยรสชาติของการจิกกัดอเมริกาและประเทศมหาอำนาจนิยม สงครามระหว่างประเทศมหาอำนาจ กับ ประเทศลึกลับที่แยกชิงอำนาจ แนวคิดการปกครองโดยทหารที่มีมาในภาพยนตร์ แบล็ค แพนเธอร์ มาตีความอย่างสุดขั้วให้ตัวละครอย่างโทนี่และทีชาล่ามีความสดใหม่และปมตัวละครที่น่าเห็นใจและน่าสังเวชในเวลาเดียวกัน ความสัมพันธ์ที่ไม่เคยมีในฉบับภาพยนตร์ทำให้ตอนนี้เล่นอะไรได้เยอะกว่าด้วยการมอบบทบาทของตัวละครที่สดใหม่ รวมไปถึงฉากอนิเมชั่นที่ทำออกมาได้สวยและมีสไตล์เข้ากับวากานด้า แถมตอนนี้ยังเป็นอีกตอนที่ให้เกียรติแก่ตัวละครทีชาล่าของ “แชดวิก โบสแมน” ที่ออกมานิดเดียวแต่ก็มีสำคัญกับเรื่องราว แต่ด้วยบทสรุปที่จบแบบดื้อ ๆ ชวนหงุดหงิดสำหรับคนคาดหวังจะเห็นผลลัพธ์แม้จะรู้บทสรุปอยู่ข้างหน้าแล้วก็ตาม
รีวิว WHAT IF…? ซีรีส์ ตอนที่ 7 “What If… Thor Were an Only Child?”
บางครั้งจักรวาลอันกว้างใหญ่ก็มอบฮีโร่ให้กับโลก แต่ไม่ใช่ในจักรวาลนี้ เมื่อธอร์เป็นลูกคนเดียวที่เติบโตในแอสการ์ดแทนที่จะเป็นลูกคนโตของโลกิ และกลายเป็นเทพแห่งการปาร์ตี้ที่ลงมาที่โลกร่วมกับเหล่ามนุษย์ต่างดาวจากทั่วจักรวาลเพื่อสนุกสุดเหวี่ยงแบบไม่แคร์โลกและผู้คน ทั้งยังพบรักกับเจน ฟอสเตอร์ และเพื่อนของเธอ ดาร์ซี่ที่รับหน้าที่ดักจับสัญญาณของเขาและคิดว่านี่อาจเป็นสัญญาณของการทำลายล้างโลก ท่ามกลางความวุ่นวายต่าง ๆ ทำให้ชิลด์ที่นำโดย มาเรีย ฮิลล์ ตัดสินใจวางมาตรการในการจัดการธอร์ออกจากโลก โดยการเรียกกัปตันมาร์เวลมา ก่อให้เกิดเป็นความสนุกหรรษาเฮฮาที่ทั้งโลกจะไม่มีวันลืม ปาร์ตี้ครั้งนี้จะจบลงยังไง การที่ธอร์เป็นลูกคนเดียวเปลี่ยนอะไรบ้างในจักรวาลนี้ คงมีแค่ผู้เฝ้ามองเท่านั้นที่จะหยั่งรู้ได้
ไม่รู้จะพูดอะไรกับตอนนี้คือมันเป็นตอนคล้าย ๆ กับตอนที่สองเลยที่วาดความเป็นไปได้ของจักรวาลหากตัวละครไม่ได้เป็นแบบในหนัง แต่เป็นในแบบที่คนเขียนบทต้องการ นั่นคือ ความสนุกหรรษาที่คุณจะได้รับจากตอนนี้ ทุกคนแฮปปี้ดี๊ด๊า ไม่มีปมอะไรดาร์ก ไม่มีความซับซ้อนของเรื่องราว มีแค่โชว์ของว่าถ้าจักรวาลตัวละครต่าง ๆ มาจัดปาร์ตี้ไม่ได้ทำลายโลกจะเป็นยังไง เราเลยเห็นความวุ่นวายวายป่วงแฮปปี้เอนดิ้งตลอดทั้งตอนผสมกับบุคลิกและบทบาทตัวละครที่มีบทบาทที่แตกต่างและน่าสนใจ แถมยังมีฉากแอ็คชั่นเท่ ๆ ที่จัดเต็มในช่วงกลาง ๆ เรื่องอีก พร้อมประเด็นว่า เราไม่ควรสนุกจนหลงลืมความรับผิดชอบต่อสังคม เราต้องไม่โกหก แต่ถึงอย่างนั้นมันก็เป็นตอนที่มาดับความงงหรือดาร์กสุด ๆ ของซีรีส์ได้ดีมาก แถมยังได้นักแสดงเวอร์ชั่นหนังมาพากย์เอาฮาไม่เอาเท่ชวนให้อมยิ้ม ทำให้มันเป็นตอนที่ค่อนข้างจะทำให้ผิดหวังเล็กน้อยว่าจะเล่นอะไรมากกว่านี้ แต่ก็ไม่วายที่จะทิ้งปมสุดพีคในตอนท้ายอีก ซึ่งน่าจะถึงเวลาที่เรื่องราวสมมตินี้จะมาบรรจบกันสักที ส่วนตัวไม่ได้ดีอะไรเท่าไหร่ ดูเอาเบาสมองแล้วกัน
รีวิว WHAT IF…? ซีรีส์ ตอนที่ 8 “What If… Ultron Won?“
ในอีกจักรวาลที่ต่างจากเวอร์ชั่นภาพยนตร์ อัลตรอนสามารถรวมร่างวิชั่นและทำลายล้างโลกเพื่อสันติสำเร็จและมนุษย์ที่เหลือรอดเหลือเพียงหยิบมือ นาตาชา หรือ แบล็ควิโดว์ และ คลินท์ บาร์ตัน หรือ ฮอวก์อาย คือสองอเวนเจอร์สคนสุดท้ายที่เหลืออยู่และพยายามหาทางที่จะหยุดยั้งอัลตรอน โดยที่ไม่รู้เลยว่าอัลตรอนได้รับรู้ถึงการมีอยู่ของผู้เฝ้ามองที่เคยเป็นเพียงผู้เล่าเรื่องในแต่ละตอนและเข้าโจมตี เน็กซัสหรือที่มองผ่านความเป็นจริงของพหุจักรวาลจนเกิดความวุ่นวายไปทั่วในจักรวาล และผู้เฝ้ามองกำลังจะได้รับรู้ว่าเขาประเมินค่าความเป็นจริงในจักรวาลต่ำไป ในขณะที่นาตาชากับคลินท์ต้องหาทางที่จะสามารถจบเรื่องทุกอย่างให้ได้ แต่ดูเหมือนว่าเรื่องราวสมมติจะไม่ได้เป็นแค่สมมติอีกต่อไป เมื่อความจริงอันแสนโหดร้าย และบุคคลผู้ทรงอนุภาพปรากฏตัว ก็ถึงคราวแล้วที่ผู้เฝ้ามองจะละทิ้งคำสาบานที่ให้ไว้ต่อสรรพสิ่งเพื่อปกป้องทุกความจริงก่อนจะสายไป
นี่ถือเป็นตอนที่ผสมผสานระหว่างเรื่องราวที่อยู่ในสเกลของความเป็นอีกจักรวาล ผสานกับภัยร้ายที่คุกคามพหุจักรวาล ทำให้มันเป็นตอนที่ค่อนข้างสิ้นหวังและได้เห็นศักยภาพของตัวละครที่มีบทบาทสวนทางในแบบที่เราเคยได้รับรู้ โดยหยิบนำภาพยนตร์ อเวนเจอร์ส: มหาศึกอัลตรอนถล่มโลก มาตีความให้สุดทางจากที่หลายคนมองว่าภาคนี้เป็นภาคที่อัลตรอนไม่ได้ใช้ศักยภาพพอได้ปล่อยพลังขนาดปะทะกับทั้งจักรวาลได้ เนื้อเรื่องช่วงแรกจะเล่าแบบเรื่อย ๆ แต่แล้วก็ค่อย ๆ ใส่จุดเปลี่ยนที่ไม่เหมือนตอนเก่า เพราะคราวนี้ตัวละครในตอนดันรับรู้และเกิดเป็นฉากแอ็คชั่นแบบจัดเต็มสาดพลัง ปาระเบิดกันแบบไม่ยั้ง แต่ก็ยังไม่ทิ้งมุกตลกที่มาเป็นบางช่วง และดูเหมือนว่าบทสรุปของตอนนี้จะทิ้งค้างไปสู่บทสรุปสุดท้ายของซีซั่นที่น่าจะรวมทุกตัวละครที่มีบทบาททั้ง 8 ตอนให้มาสู้เพื่อพหุจักรวาล ทำให้คิดว่าครึ่งชั่วโมงจะพอมั้ย ก็ต้องมารอดูกัน นี่เป็นตอนที่ทำให้เห็นว่า สุดท้ายแล้วไม่มีใครอยู่เฉยได้ตลอดไปหรอก เมื่อภัยรุกรานเข้าหาตัว สุดท้ายก็ต้องลุกขึ้นสู้เพื่อผลประโยชน์และความปลอดภัยของตัวเอง โดยรวมก็ถือเป็นตอนที่มีศักยภาพอาจจะไม่ดาร์กหม่นหมอง แต่ก็เล่าเรื่องได้ช่วยติดตามตั้งแต่ต้นจนจบ
รีวิว WHAT IF…? ซีรีส์ ตอนที่ 9 What If… The Watcher Broke His Oath?
จากตอนก่อนหน้าที่อัลตรอนพังทลายทุกพหุจักรวาลหลังจากได้รับรู้การมีอยู่ของมัน และเข้าใช้พลังทำร้ายผู้เฝ้ามองจนเกือบเอาชีวิตไม่รอด เขาจึงผิดคำสาบานที่มีมาตลอด เดินทางไปยังจักรวาลต่าง ๆ เพื่อตามหาทีมพิทักษ์พหุจักรวาล และสิ่งที่เขาได้มาคือ กัปตันคาร์เตอร์ จากตอนที่ 1 ด็อกเตอร์สเตรนจ์จากตอนที่ 4 คิลมองเกอร์จากตอนที่ 6 ธอร์จากตอนที่ 7 และกาโมร่าที่ปรากฏตัวขึ้นเพื่อหาทางหยุดยั้งอัลตรอน และทวงคืนสันติภาพของตัวเองและทั้งจักรวาลเพื่อคนที่พวกเขารัก แต่มันก็ไม่ง่ายเลยเมื่ออัลตรอนเป็นปัญญาประดิษฐ์ที่สามารถรวบรวมมณีอินฟินิตจากในจักรวาลและสามารถใช้พลังมันทั้งหมด ทำให้พวกเขาต้องวางแผนและหาทางตอบโต้ในจักรวาลที่ดับสูญเพื่อไม่ให้จักรวาลอื่นได้รับผลพลอยลูกหลง ที่ซึ่งพวกเขาจะได้พบมิตรภาพใหม่ มุมมองใหม่ และศัตรูใหม่ที่คาดไม่ถึงที่จะทำให้พวกเขาเริ่มตั้งคำถามกับการมีอยู่ของผู้เฝ้ามอง แต่ก่อนหน้านั้น พวกเขาต้องหาทางจบศึกที่แทบหาชัยชนะไม่ได้ก่อน แล้วจากนั้นชะตากรรมของจักรวาลของพวกเขาจะเป็นยังไงต่อไปก็ขึ้นอยู่กับจักรวาลแล้ว
นี่เป็นตอนสุดท้ายที่ทำให้นึกถึงมาร์เวลในแบบที่ทุกคนรู้จัก นั่นก็คือการรวมทีมเพื่อปราบวายร้าย แต่ด้วยสเกลที่ศัตรูในตอนนี้มันสามารถทำลายทั้งจักรวาลได้ ความลุ้นมันจึงอยู่ที่ไหวพริบของตัวละครหลักในเรื่องที่มาจากตอนก่อน ๆ ที่เข้ามาเชื่อมโยงเรื่องราวและมีปฏิสัมพันธ์ที่แตกต่างจากฉบับภาพยนตร์ เวลาที่สั้นทำให้เราไม่ได้สำรวจอะไรมากนัก และเป็นตอนสุดท้าย สิ่งที่ได้จากตอนนี้จึงเป็นการสาดพลังกันแบบไม่แคร์จักรวาลของภาพยนตร์ ทำทุกอย่าง มีช่วงเวลาที่พลาดพลั้งใกล้จะแพ้ แล้วก็หาทางสู้ใหม่ ด้วยบทสรุปที่น่าประทับใจของทุกตัวละครในเรื่อง รวมถึงตัวละครหนึ่งที่ไม่มีบทบาทแล้วในจักรวาลภาพยนตร์ที่เขากล้าที่จะตั้งคำถามกับซีรีส์ว่า กล้าจะเมินเฉยต่อสิ่งที่พวกเขาเผชิญได้ยังไง ทำไมถึงคิดว่าการไม่แทรกแซง การผิดคำสาบานและบอกดูคนที่เดือดร้อนตรงหน้าเป็นเรื่องที่ไม่สำคัญ เราควรจะรวมพลังและช่วยเหลือกัน หาทางที่จะต่อสู้มากกว่าที่จะปล่อยให้ความวุ่นวายเกิดขึ้น ถือเป็นตอนที่สนุกและตื่นตาตื่นใจกับงานโชว์พลังมาก ๆ ทุกคนจะต้องไม่ผิดหวังกับบทสรุปแสนอลังการและทำให้เรื่องราวสมมตินี้เป็นภาพรวมที่สมบูรณ์ เต็มอิ่ม และถือเป็นภาพรวมที่คุ้มค่าที่จะรับชมในดิสนีย์พลัสนะครับ ติดตามชมซีซั่น 2 ต่อได้ เร็ว ๆ นี้
อนิเมชั่นเรื่องนี้ได้รับการเข้าชิงให้เป็น Critics’ Choice Super Awards ของปีนี้ด้วย
ชมได้แล้ววันนี้ใน ดิสนีย์พลัส
- ติดตามผลงานของผม Thousand Mar ได้ ที่นี่