playinone.com
รีวิว บทความ หนัง ซีรีส์ Netflix สตรีมมิ่งทุกระบบ

รีวิว WONDER WOMAN 1984 ยกระดับซูเปอร์ฮีโร่หญิงให้ดียิ่งขึ้นไปอีก

สรุป

ยกระดับสาวน้อยมหัศจรรย์ เล่นใหญ่มากขึ้น ทั้งเนื้อเรื่องและประเด็นต่าง ๆ น่าสนใจ เสียดายฉากแอ็คชั่นและพลอตโฮล

Overall
7.5/10
7.5/10
Sending
User Review
0 (0 votes)

Pros

  • เนื้อเรื่องเล่นใหญ่มาก แต่สามารถคุมสเกลตามลำดับได้ไม่ขาดตกบกพร่อง หนักแน่นและเข้มแข็ง
  • ครบทุกอารมณ์ มีความเป็นหนังทริลเลอร์เบา ๆ คอมเมดี้ในช่วงต้น ๆ
  • มีฉากให้น้ำตาซึม และกินใจในช่วงท้าย
  • การแสดงชวนให้อินในทุกฉาก
  • งานภาพและซีจีดีมาก ๆ
  • ประเด็นของเรื่องยิ่งใหญ่กว่าเดิม

Cons

  • มีพลอตโฮลไม่สมเหตุสมผลในบางจุด
  • ดนตรีฮานส์ ซิมเมอร์น่าผิดหวังมากครั้งนี้
  • คนคาดหวังฉากแอ็คชั่นอาจจะเบื่อเลยก็ได้ เพราะหนังเน้นเล่าเรื่องมากกว่าภาคก่อน ๆ
  • ช่วงต้นราบเรียบ ถ้าใครไม่ชอบการปูเรื่องประมาณ 1 ชั่วโมง ก็จะไม่ชอบเลย

WONDER WOMAN 1984 วันเดอร์ วูแม่น 1984 เป็นภาพยนตร์อเมริกันแนวซูเปอร์ฮีโร สร้างจากตัวละครหนังสือการ์ตูน วันเดอร์วูแมนของดีซีคอมิกส์ เป็นภาคต่อของภาพยนตร์เรื่อง วันเดอร์ วูแมน ในปี พ.ศ. 2560 และเป็นภาพยนตร์ลำดับที่เก้าในจักรวาลขยายดีซี (DC Extended Universe) กำกับโดย แพตตี เจนคินส์ โดยเธอเขียนบทภาพยนตร์ร่วมกับ เจฟฟ์ จอห์นและเดวิด คัลลาแฮม นำแสดงโดย กัล กาด็อต คริส ไพน์ คริสเตน วิก เปโดร ปาสกาล จัดจำหน่ายโดย วอร์เนอร์บราเธอส์พิกเจอร์ส เป็นภาคต่อที่ทิ้งเวลาระยะห่างการฉายจากภาคแรกมากว่า 3 ปี เรื่องราวของวีรสตรีจากชนเผ่านักรบหญิงอะเมซอนผู้มีพลังมหัศจรรย์และใช้มันต่อสู้กับเหล่าร้ายที่หวังจะทำลายโลก อย่าง ไดอาน่า ปรินซ์ หลังจากที่สร้างกระแสคำชมไปอย่างกว้างขวางถึงการเป็นภาพยนตร์วีรสตรีหญิงในโลกฮอลลีวู้ดกวาดรายได้ไปกว่า 820 ล้านเหรียญสหรัฐก็ทำให้ใครหลายคนคาดหวังถึงภาคต่อของการเดินทางจากคนที่ไร้เดียงสาไม่รู้อะไรเกี่ยวกับโลก สู่การเป็นวีรสตรีที่ใช้ชีวิตเป็นหนึ่งเดียวกับโลก มาคราวนี้แพตตี เจนคินส์ก็ไม่พลาดที่จะโชว์ศักยภาพในการทำภาพยนตร์ในฐานะผู้บุกเบิกการทำลายอคติทางเพศแบบที่ผู้กำกับหญิงหลายคนต้องเผชิญ เพื่อเข้าสู่ยุคใหม่ ยุคที่แสนมหัศจรรย์ตามชื่อ วันเดอร์ วูแมน หลังจากที่ต้นปีเราได้ชม ทีมนกผู้ล่า ไป

ADBRO

รีวิว WONDER WOMAN 1984

แย่หน่อยที่ปีนี้เรียกได้ว่าอุตสาหกรรมต่าง ๆ ต้องพากันเลื่อนกำหนดจากเดิมกันถ้วนหน้า เช่นเดียวกับเรื่องนี้ และการปรับตัวใหม่ของธุรกิจ จึงทำให้นี่เป็นหนังเรื่องแรกที่จะฉายในโรงก่อนหนึ่งอาทิตย์ ก่อนจะไปลงระบบสตรีมมิ่งของตัวเองอย่าง HBO MAX โชคดีที่ในไทยเราได้ดูก่อนอเมริกา เราจึงได้ดูหนังฮีโร่ต้อนรับเทศกาลคริสต์มาสที่สุดแสนจะวิเศษ เรียกว่าเป็นของขวัญได้มั้ย ก็อาจได้อยู่ แต่ถึงจะเป็นหนังภาคต่อ แต่ก็ไม่ได้เดินเนื้อเรื่องหนึ่งต่อหนึ่งอย่างใด แต่เป็นการข้ามยุคสมัย หนังจึงไม่จำเป็นต้องปูพื้นอะไร คนดูก็คงเข้าใจแล้ว แต่ถ้ายังไม่ได้ดูก็ขอเล่าเรื่องย่อภาคแรกก่อน “ไดอาน่า ปรินซ์ได้พบกับสตีฟ เทรเวอร์ นักบินหนุ่มผู้นำความจริงว่าสงครามกำลังจะเกิดขึ้น จนกระทั่งเธอได้ค้นพบว่าโลกที่สวยงาม มันไม่เคยเป็นแบบที่เธอเข้าใจ แม้สุดท้ายจะสามารถจัดการกับปัญหาได้ แต่เธอก็มีราคาที่ต้องจ่ายเช่นเดียวกัน” รายละเอียดเป็นยังไงก็ไปหามาดูนะครับ เพราะสนุกใช้ได้ เป็นหนังดีซีที่ไม่ได้เน้นฉากแอ็คชั่นอย่างเดียว แต่มีซีนอารมณ์และจังหวะจะโคน ดนตรีประกอบที่พอจะทำให้มันเข้าออสการ์ได้ในตอนนั้นเลยสำหรับผม เพราะฉะนั้นภาคต่อจึงเป็นสิ่งที่ผมคาดหวังว่ามันจะต้องดีกว่าภาคแรกแน่ ๆ แต่ผมคิดยังไงกับมันก็เชิญอ่านเรื่องย่อกันก่อน

“ปีค.ศ. 1984 หกสิบหกปีภายหลังจบสงครามใหญ่ในภาคแรกที่ไดอาน่าได้ต่อสู้และสูญเสียสิ่งที่รักไป ตั้งแต่นั้นเธอก็ต่อสู้เพื่อปกป้องผู้คนจากความชั่วร้าย ท่ามกลางยุคสมัยที่วอร์ชิงตัน ดีซี ความเจริญและเทคโนโลยีเปี่ยมไปด้วยความสวยงามและกลอุบาย ที่นั่นเธอได้พบกับ  บาร์บารา มิเนอร์วา หญิงสาวขี้อาย ผู้มีจิตใจดี แต่ไม่มั่นใจในตัวเอง ผูกมิตรกันในฐานะเพื่อนร่วมงาน แต่ระหว่างที่ความสัมพันธ์และมิตรภาพกำลังไปได้อย่างราบรื่น ความปรารถนาอันเหลือล้นของมนุษย์ที่ไม่มีสิ้นสุดก็กำลังถูกขับเคลื่อนโดยสิ่งเหนือธรรมชาติ ที่จะผลักดันให้ทั้งโลกนั้นพบกับจุดจบของอารยธรรม และในขณะเดียวกันเธอเองก็กำลังจะได้ค้นพบความจริงบางอย่างที่จะเปลี่ยนแปลงโลกไปตลอดกาล”

วัฒนธรรมย่อมมีการยกระดับ ภาคต่อก็เช่นกัน

เรียกได้ว่าภาคต่อ ก็ย่อมได้รับการกดดันและคาดหวังมาก แต่ขอบอกว่าเรื่องนี้ทำสำเร็จอย่างงดงาม ด้วยพล็อตที่แน่นขึ้น มีประเด็นย่อยมากมาย ตัวละครที่ได้รับกระจายบทให้โดดเด่น และสเกลของเรื่องที่ใหญ่กว่าภาคแรกเป็นเท่าตัว ด้วยการเล่าเรื่องที่ยังรักษามาตรฐานเดิมคือใช้แฟลชแบ็คเปิดเรื่อง แล้วเล่าเป็นเส้นตรงไปจนจบเรื่อง มีการใส่มุกตลกที่ให้อารมณ์เหมือนหนังมาร์เวลในช่วงมาตรฐาน ทั้งตัวละครหลักจนไปถึงตัวละครรอง ๆ ที่มันเข้าท่าอยู่เหมือนกัน แม้ช่วงแรกจะรู้สึกว่าปูเรื่องไปนานแต่มันก็มีประโยชน์ในการหยิบมาใช้ในตอนหลัง ๆ แถมหนังยังแปลงสภาพตัวเองให้ช่วงแรกเป็นหนังแนวทริลเลอร์สืบคดี ลึกลับให้คิดตามเล่น ซึ่งไม่ค่อยได้เห็นทำแบบนี้ ใครไม่ชอบอะไรตามอาจจะมองว่ามันอืด แต่นี่เป็นข้อดีที่ทำให้เราได้ซึมซับกับตัวละคร ทำให้เราอินกับแรงจูงใจและการกระทำของแต่ละตัวละครมากขึ้นกว่าเดิม ยิ่งบวกกับสังคมเมืองวอร์ชิงตัน ดีซี ปี 1984 ที่ช่วงนั้นเป็นช่วงที่เฟี้ยวชวนให้นึกถึงความเรโทรแต่มีสไตล์ ซึ่งหนังก็เสนอออกมาได้มีสีสันและน่าตื่นตามากขึ้น ซึ่งทำให้เห็นสภาพของผู้คนและบ้านเมืองมากกว่าในช่วงสงครามของภาคแรกที่มีมิติเดียว

ประเด็นสังคมที่หนักแน่น และขยายกว้าง

แน่นอนว่าเอกลักษณ์ที่วันเดอร์ วูแมนทำได้ดีตลอดคือเรื่องของความแข็งแกร่งที่ไม่ได้อยู่ที่เพศโดยการนำเสนอผ่านตัวละครหลักหญิงแบบไม่เน้นความเซ็กซี่ แต่เน้นถึงสิ่งที่พวกเธอทำได้ ปัญหาของอคติทางเพศในที่ทำงาน การถูกคุกคามทางเพศของผู้หญิง และความมั่นใจเมื่อตัวเองสามารถทำสิ่งต่าง ๆ ได้ สิ่งเหล่านี้คือสิ่งที่ถูกนำเสนอในภาคต่อได้อย่างลื่นไหล ยังไม่รวมกับเรื่องความต้องการที่ไม่สิ้นสุดที่แสดงให้เห็นจากเหตุการณ์ภายในเรื่องที่บอกได้คำเดียวว่า มันวายป่วงมาก ๆ เรียกได้ว่าสะเทือนทั้งโลก โชคดีเหลือเกินที่ตัวอย่างแทบไม่ทำให้เราเห็นว่ามันเกิดเรื่องขนาดนี้ขึ้น ทำให้ตอนขณะดูนั้นเซอร์ไพรส์มาก ๆ เราจะได้เห็นความกลืนไม่เข้าคายไม่ออกของแต่ละประเทศที่ต้องทำสงคราม ทุนนิยมคือความจริงที่ผลักดันให้คนต้องขวนขวายและมีชีวิตรอด ความเห็นแก่ตัว เล่ห์กลอุบายต่าง ๆ ที่แม้แต่เทพเจ้าหรือผู้วิเศษก็ย่อมมีได้ ประเด็นความมหัศจรรย์ที่มนุษย์มี ความรัก ความหวัง และการเสียสละ ซึ่งถูกนำมาขยายมากขึ้น เรียกได้ว่าจุดแข็งของเนื้อเรื่องและประเด็นถือว่าทำได้ดีเลยทีเดียว

ลดแอ็คชั่นตูมตาม เพิ่มความเป็นมนุษย์

งานถ่ายทำและงานภาพถือว่าสวยและคมขึ้นมาก มุมกล้องต่าง ๆ มีการจัดองค์ประกอบที่สวยงาม แต่แย่หน่อยที่ในฐานะการเป็นหนังซูเปอร์ฮีโร่กลับเบาบางเหลือเกิน เพราะหนังแทบไม่มีฉากแอ็คชั่นที่น่าจดจำเท่าภาคแรกเลย ฉากอลังการแบบซูเปอร์ฮีโร่ก็ไม่มี แต่ฉากต่อสู้กับท่วงท่าที่สวยงามยังมีให้เห็น ดนตรีของฮานส์ ซิมเมอร์ในครั้งนี้ก็ไม่เฉียบเหมือนทุกทีไป มีจุดพลอตโฮลที่มันไม่ได้ขัดกับเรื่อง แค่รู้สึกว่ามันไม่ได้จำเป็นกับเรื่องขนาดนั้น มองข้ามไปเราก็เห็นตัวละครไดอาน่าในอีกมุมที่ไม่ต่างกับมนุษย์ มีความโกงและเห็นแก่ตัวแต่ก็ยังพยายามใช้วิธีประณีประนอม มีมุมที่สดใส น่ารักและงดงามแบบผู้หญิง ด้วยเหตุเพราะเธอได้อยู่กับสิ่งที่เธอรัก มันก็ไม่แปลกถ้าเธอจะเป็นแบบนั้น แถมยังได้เหตุผลชั้นยอดที่สามารถเอามานำเสนอเธอในแง่มุมที่ไม่ได้ทรงพลังไปหมดซะทุกเรื่อง เธอก็ยังคงมีความเปราะบางแบบคนธรรมดา ไม่ใช่สาวน้อยมหัศจรรย์อย่างที่ใครหลายคนมอง พาร์ทโรแมนติกก็เรียกได้ว่าหวานซะจนมดขึ้น ตอนจะซึ้งก็ดันทำเอาน้ำตาซึม แพตตี เจนคินส์ถือว่าสอบผ่านอีกครั้งในฐานะการเป็นผู้กำกับ ไม่แปลกที่ค่ายจะอนุมัติให้ทำภาคต่อ กับภาคแยกในเฟรนไชน์อีก

การแสดงที่โดดเด่นไม่ด้อยไปกว่าใคร ๆ

ยกความดีความชอบให้แรกสุดกับ กัล กาด็อท ที่มาคราวนี้เธอแสดงสีหน้าอารมณ์และการแสดงได้แข็งแกร่งมากกว่าภาคแรกที่เธอยังดูใหม่ ๆ กับการเล่นหนังแอ็คชั่นเดี่ยว ๆ มาคราวนี้เธอแสดงให้เห็นอีกด้านของไดอาน่าที่มากกว่าครั้งไหน ๆ เช่นเดียวกับ คริส ไพน์ ที่กลับมาจากภาคแรกในฐานะสตีฟ ก็ทำหน้าที่เป็นตัวตลก แต่ก็ทรงพลังในการขับเคลื่อนไดอาน่าไม่ต่างกับภาคแรก มีคำคมที่ฟังแล้วซึ่ง ได้เห็นมุมของหนุ่มหัวโบราณที่เห็นเทคโนโลยีสมัยใหม่ คริสเตน วิก สลัดคราบดาราตลกมาสวมบทดาวร้ายยั่วสวาทที่กว่าจะได้โชว์การต่อสู้ก็ช่วงท้าย ๆ แต่ในด้านการแสดงเธอเตะตามากไล่ระดับจากหนึ่งไปสิบเลย แต่ที่พลาดไม่ได้คงเป็นเปโดร ปาสกาล หนุ่มผู้เคยฝากผลงานมาแล้วมากมายก็แสดงให้เห็นแล้วว่า เขาเป็นนักแสดงที่มีฝีมือ ถ่ายทอดด้านมืดและเจ็บปวดของมนุษย์จนต้องทำสิ่งที่น่ากลัวลงไป เรียกได้ว่าทั้ง 4 คนคือผู้ที่นำพาเนื้อเรื่องไปข้างหน้าอย่างไม่มีที่ติ

ควรชมหรือควรข้าม

ถือเป็นหนังซูเปอร์ฮีโร่ที่มาได้ถูกจังหวะก่อนวันคริสต์มาสพอดี เป็นได้ทั้งหนังแอ็คชั่นเท่ ๆ ทั้งทริลเลอร์คอมเมดี้ โรแมนติก และยังแฝงไปด้วยประเด็นที่อาจจะโลกสวยไม่ต่างกับภาคแรก แต่ด้วยความสนุกตลอด 2 ชั่วโมงครึ่ง ก็ทำให้ผมไม่รู้สึกว่ามีอะไรต้องเพิ่มเติมเลย เพราะหนังให้ได้หมดแล้ว งานภาพ งานซีจี งานดนตรี การแสดงและเนื้อเรื่อง เรียกได้ว่าเป็นหนังซูเปอร์ฮีโร่ที่ยกระดับตัวเองจากภาคแรกได้อย่างสมบูรณ์ แม้จะมีบางอย่างที่ส่วนตัวยังประทับใจในภาคแรก แต่ไม่ใช่หนังที่ควรข้ามไปแน่นอน โดยเฉพาะใครที่ดูมาตั้งแต่ภาคแรกคงไม่พลาดแน่ ๆ เพราะงั้นนี่จึงเป็นหนังส่งท้ายปีที่ดูแล้วก็ไม่เสียเงินแน่นอน อย่าพลาดเอนเครดิตนะครับ แฟน ๆ วันเดอร์วูแมน!

ทั้งหมดเป็นเพราะหินขอพรของเทพเจ้าแห่งคำลวง ทำให้ทุกคำอธิษฐานที่ขอของผู้ที่สัมผัสนั้นกลายเป็นจริง ไดอาน่ากับบาบาร่าที่ทำงานเป็นคนของพิพิธภัณฑ์สมิธโซเนี่ยน และตรวจสอบหินขอพรที่ได้มาจากการจับกุมพ่อค้าของเถื่อน เลยเผลออธิษฐานเข้าระหว่างตรวจสอบ ไดอาน่า ขอให้สตีฟกลับมา บาบาร่าขอให้ตัวเองเหมือนไดอาน่า และเรื่องยิ่งวุ่นเมื่อมีนายหน้าโฆษณาอย่างแม็กซ์เวล ลอร์ด ได้หินนั้นไปและสลายมันเข้ากับตัวเอง ทำให้เขาสามารถใช้พลังในการอธิษฐานได้ไม่สิ้นสุด ทำให้โลกเข้าสู่สภาวะวุ่นวายเพราะยิ่งขอมากเท่าไหร่ ผู้คนก็ยิ่งสูญเสียคุณธรรมไป ในขณะเดียวกันในการขอก็มีสิ่งที่ต้องเสียไป
ไดอาน่า เสียพลังมหัศจรรย์ของตัวเอง
บาบาร่า เสียความดีงามในใจไปจนกลายเป็นชีตาร์ อสูรเสือ
แม็กซ์เวล กลายเป็นคนไม่รู้จักพอ ต้องให้พรคนไปเรื่อย ๆ

ทางเดียวที่หยุดยั้งคือ การถอนคำอธิษฐาน ด้วยการที่ไดอาน่าสามารถทำให้ทุกคนมองเห็นความงดงามของโลกนี้ได้ ทั้งความสุขและความทุกข์ ทุกคนจึงถอนคำอธิษฐานและทุกอย่างก็กลับคืนสู่สภาวะปกติ แม้เธอก็สูญเสียสตีฟไปตลอดกาล แต่ความทรงจำและความอบอุ่นที่เธอมีร่วมกับเขาจะยังคงอยู่ตลอดไป

ตัวอย่าง WONDER WOMAN 1984

WONDER WOMAN 1984 วันเดอร์ วูแม่น 1984

วันนี้ในโรงภาพยนตร์

  • ติดตามเรื่องราวที่น่าสนใจในแวดวงเกม รีวิวภาพยนตร์ ซีรีส์ และ อนิเมะ ได้ ที่นี่
  • ติดตามผลงานของผม Thousand Mar ได้ ที่นี่
รีวิว Black Doves พิราบเงา (Netflix) ซีรีส์สายลับที่ตัวละครมีเสน่ห์ซับซ้อนคมคายสุดๆ