playinone.com
รีวิว บทความ หนัง ซีรีส์ Netflix สตรีมมิ่งทุกระบบ

รีวิว Captain Marvel No Spoiler เธอผู้แบกอนาคต MCU ทั้งมวลด้วยหนังเพลย์เซฟ

Captain Marvel

สรุป

หนังดูได้เรื่อยๆ หนังอารมณ์ดี แต่อย่าไปหวังมาก

Overall
7/10
7/10
Sending
User Review
0 (0 votes)
Comments Rating 0 (0 reviews)

Pros

  • ธีมย้อนยุค 90 อิ่มเอมดักแก่มาก
  • กิมมิคสะกิดเรื่องอื่นๆเยอะพอได้
  • หนังอารมณ์ดีตามสไตล์มาร์เวล
  • แมวน่ารัก

Cons

  • หนังเพลย์เซฟ ไม่หวือหวา ไม่อลังการ
  • ดนตรีไม่น่าจดจำ
  • เขียนบทพลาดโอกาสปล่อยของในหลายๆจุด
  • ฉากแอ๊คชั่นไม่สนุกและน้อย

ADBRO

รีวิว Captain Marvel No Spoiler หนังต้นกำเนิดสาวชาวโลกผู้เป็นฮีโร่หญิงคนแรกแห่งจักรวาล MCU จากฝั่ง Marvel เชื่อว่าหลายๆคนรอดู Captain Marvel มาตั้งแต่หลังจากที่ได้ดู Avengers: Infinity Wars กันไปช่วงต้นปีที่แล้ว มาถึงตอนนี้ Captain Marvel เข้าโรงแล้วครับ ด้วยความที่ขาดช่วงไปเกือบปี คงไม่แปลกที่ใครหลายๆคนจะตั้งหน้าตั้งตารอกัน

Captain Marvel ว่าด้วยเรื่องราวของ “เวียส” มนุษย์ต่างดาวหญิงชาวครี (Kree) ที่ความจำเสื่อม จำเรื่องราวอะไรในอดีตของตัวเองไม่ได้เลย มีแค่ภาพในฝันลางๆไม่รู้เรื่อง ตัวเธอเองมีพลังลึกลับในตัวที่เพื่อนร่วมหน่วยรบ ยอน-ร็อคค์ อ้างว่าเป็นคนมอบให้เธอไว้หลังจากช่วยชีวิตเธอมาเมื่อหกปีก่อน

เธอกับหน่วยต้องไปปฏิบัติภารกิจเพื่อยุติสงครามระหว่างเผ่าพันธุ์ครีของเธอกับสกรัลล์ (Skrull) เผ่าพันธุ์ที่สามารถเปลี่ยนแปลงรูปร่างตัวเองได้ไปจนถึงระดับ DNA แต่สุดท้ายจับพลัดจับพลู เธอต้องมาทำภารกิจเดี่ยวที่ดาวโลก และพบว่าจริงๆแล้วนี่แหละดาวบ้านเกิดของเธอ เธอไม่ใช่ครี

Captain Marvel
Captain Marvel ในมาดนักรบครี

หนังฮีโร่ทุกเรื่องของ MCU ภาคแรกต้องทำหน้าที่เป็นต้นกำเนิดของฮีโร่หลัก เรื่องนี้ก็ไม่ต่างกัน Captain Marvel นำเสนอเรื่องราวผ่านมุมมองของเธอเองว่าได้พลังมายังไง ทำอะไรได้บ้าง เธอเป็นคนยังไง ก้าวข้ามไปสู่ความเป็น “ฮีโร่” ได้ยังไง ได้ชุดประจำตัวมายังไง

ส่วนคุณภาพก็ไม่ต่างไปจากภาคแรกของฮีโร่คนอื่นๆ Captain Marvel เริ่มต้นด้วยความเอื่อยเฉื่อยไม่หวือหวา จนกระทั่งไปถึงช่วงเกือบกลางเรื่องที่มาอยู่บนโลกแล้วถึงค่อยเริ่มสนุกน่าสนใจ แต่ก็นั่นแหละ “เกือบกลางเรื่อง” เข้าไปแล้ว

Nick Fury
Nick Fury วัยหนุ่ม

เมื่อมาถึงบนโลก หนังก็เปิดเผยบทบาทอีกอย่างของ Captain Marvel ว่าไม่ได้เป็นแค่หนังภาคต้นกำเนิดของเธออย่างเดียว แต่ยังมีหน้าที่บอกเราเรื่องราวของ Nick Fury สมัยยังละอ่อน เป็นเจ้าหน้าที่หน่วยชีลด์ประสบการณ์น้อยนิดในเรื่องยอดมนุษย์ ซึ่งต้องคอยซึมซับถึงการมีอยู่ของภัยจากต่างดาว เล่าว่าเขาเสียตาข้างหนึ่งไปได้ยังไง

ที่สำคัญยังต้องเล่าความสัมพันธ์ระหว่างทั้งคู่ว่าเป็นมายังไงถึงขนาด Nick Fury มีเพจเจอร์ส่วนตัวเรียกฮีโร่ระดับอย่างเธอให้มาช่วยได้ในตอนท้ายของ Avengers: Infinity War ซึ่งตรงนี้ทั้งตัวบทหนังและตัวนักแสดงเองทำได้ดีอย่างมาก อาจจะเป็นเพราะทั้งสองถูกวางไว้เป็นโฟกัสหลักของเรื่องตั้งแต่แรก ก็เลยทำให้หนังมีสกรีนไทม์ให้สองคนนี้มากกว่าคนอื่นๆ ยิ่ง Samuel L. Jackson นี่ฉีกบท Nick Fury ได้ดีมาก จากจอมเข้มออกมากลายเป็นละอ่อนทาสแมวดีๆนี่เอง

Captain Marvel กับ Nick Fury
ความสัมพันธ์ระหว่าง Captain Marvel กับ Nick Fury ตลอดเรื่องค่อยๆดำเนินไปได้ดีอย่างมาก ถือเป็นหนึ่งในข้อดีของบท

และด้วยเหตุที่สองคนนี้มีสกรีนไทม์เยอะที่สุด ก็เลยเป็นดาบสองคมให้ตัวละครอื่นๆ มีเวลาสร้างความประทับใจสร้างเรื่องราวของตัวเองให้คนดูเห็นน้อยลง (ซึ่งความประทับใจที่ได้มาก็คือเป็นตัวยิงตัวรับมุขตลก) ไม่ใช่ว่าถึงขั้นลืมหน้าลืมตาหรือหมดประโยชน์เปลืองงบถ่ายทำ แต่ด้วยบทที่วางไว้ให้ก่อนถึงช่วงท้ายเรื่องทำให้น้ำหนักไม่เท่ากันอย่างน่าเสียดาย

ขนาดว่า Agent Coulson ที่กลับมาเอาใจแฟนๆยังมีบทโคตรน้อย อีกทั้งบทพูดในฉากซีนอารมณ์ของเธอกับตัวละครอื่นๆก็ไม่ได้ทำให้คล้อยตามได้มากนัก ความสัมพันธ์กับการตัดสินใจของเธอหลายอย่างดูรวบรัดเร็วมากเกินไปทำให้เกิดความไม่หนักแน่น บางฉากไปถึงขั้นว่า “ง่ายๆอย่างนี้เลยเหรอ” ก็มี อาจจะมองข้ามได้บ้าง แต่การมองข้ามไม่ช่วยทำให้อินตามแน่นอน

Agent Coulson
Agent Coulson สมัยเข้าชีลด์ใหม่ๆ ซึ่งเอาจริงๆแล้วมีบทน้อยเหลือเกิน

นอกจากนี้ ด้วยกระแสสังคมในตะวันตก Captain Marvel ก็มีหน้าที่อีกหนึ่งอย่างที่ต้องถ่ายทอดให้คนดูเห็น นั่นก็คือความเป็น Feminism หรือคตินิยมสิทธิสตรีของหนัง เหตุผลง่ายๆก็เพราะเรื่องนี้เป็นฮีโร่หญิง นี่จึงเป็นโอกาสอันดีของทางมาร์เวลเหมือนกันที่จะเรียกกระแสสนับสนุนเอาดีเข้าตัวว่าสนับสนุน Feminism เหมือนกับที่ฝั่ง DC ทำไว้กับ Wonder Woman

แต่โชคร้าย มาร์เวลตีโจทย์ไม่แตกทำให้ความเป็น Feminism โดดเด่นขึ้นมาไม่ได้ ไม่มีอะไรที่สะดุดตาทรงพลังมากไปกว่า “Captain Marvel เป็นผู้หญิงและเพื่อนเธอก็เป็นผู้หญิงผิวสี” แม้หนังจะพยายามเล่นตรงที่เธอเคยเป็นทหารอากาศ เธอเป็นหญิงแกร่งอดทน แต่ก็ดันหยิบจับตรงนั้นมาใช้น้อยเสียเหลือเกิน คือมี แต่น้อยและจังหวะไม่ดี แล้วยังพาลทำให้บทของทั้งเรื่องดูจืดไปด้วยเลย

เนื้อเรื่อง Feminism
หนึ่งในองค์ประกอบของบทเนื้อเรื่องเชิดชูผู้หญิง ซึ่งกลายเป็นว่าทำได้ผิวๆ เผินๆ เท่านั้น

Brie Larson เจ้าของบท Captain Marvel ได้ทำหน้าที่ของเธออย่างดีแล้ว (แม้ซีนอารมณ์จะไม่ได้ตีบทแตก ซ้ำทั้งบทซีนอารมณ์ก็ไม่ได้ดีเด่อยู่แล้ว) แต่เนื้อเรื่องไม่ได้น่าจดจำหรือโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์เท่าไหร่เลย ฉากแอ๊คชั่นฉากบู๊ที่ควรจะเป็นตัวชูโรงพลังชูโรงความเป็นหญิงแกร่งกลับมีน้อย แล้วยังถ่ายทำออกมาได้ฮอลลีวู๊ดฮอลลีวูด มุมกล้องสั่นๆและซูมใกล้ๆดูไม่รู้เรื่อง ตัดไปตัดมา ไม่ได้มีความใส่ใจเลยว่าเธอคนนี้นะที่จะเป็นตัวหลักของ MCU ต่อไปในอนาคต ไม่มีเลย

Brie Larson
Brie Larson นักแสดงรางวัล Oscar เจ้าของบท Captain Marvel

ในเรื่องนี้ หากจะไม่พูดถึงเจ้าแมวสีส้มในเรื่องก็คงเป็นไปไม่ได้ เจ้า “กู๊ส (Goose)” เองคือตัวขโมยซีนตัวดีประจำเรื่อง บทคนในเรื่องบางคนอาจจะจืด แต่พอเป็นเจ้ากู๊สกลับได้รับความใส่ใจ เขียนบทให้เด่นขึ้นมาทันที (ซึ่งต้องใช้แมวตั้ง 4 ตัว ในการถ่ายทำ) ฉากไหนเจ้ากู๊สโผล่มาคือต้องปล่อยของ ยิ่งถ้าใครเป็นทาสแมวนี่ต้องฟินกับความน่ารักของเจ้าแมวส้มนี่แน่นอน แถมบทน้องใช่ธรรมดาซะที่ไหน ย้ำอีกทีเลย บทคนบางคนยังจืดกว่าซะอีก

Goose
Goose เหมียวส้มที่บทบาทในเรื่องไม่ใช่น้อยๆเลยนะ

สิ่งที่ดูแล้วชอบมากเพราะทำออกมาได้ดีที่สุดคือธีมยุค 90 ที่เป็นช่วงเวลาบนโลกของเหตุการณ์ในเรื่อง ตลอดเรื่องเราจะได้เห็นกิมมิคต่างๆที่มาจากยุคนู้นเยอะแยะ แบบว่าเห็นแล้วเฮ้ยไอ้นั่นรู้จัก เฮ้ยเพลงนี้นี่หว่า เอ้าเมื่อก่อนเราก็เคยใช้ไอ้นั่น รวมไปถึงมุขตลกต่างๆที่เล่นกับความเป็นสมัยก่อน อันนี้ถือว่าทำออกมาได้ดีเต็มที่ ดักแก่ดัก Nostalgia เด็ก 90 ไปเต็มๆ แม้กระทั่งเทคนิค Color Grading ยังรู้สึกเหมือนดูหนังยุคนู้นเลย

ยุค 90
หนึ่งในรายละเอียดจากยุค 90 ร้านเช่าวิดีโอ Blockbuster Video

หนังสอบผ่านเฉียดฉิวในแง่ของความสนุกโดยรวม ความโดดเด่นนี่ไม่ต้องพูดถึง ไม่มีอะไรประทับใจเลยถ้าไม่ไปนับว่าเธอเป็นฮีโร่หญิงสุดแกร่งคนแรก (เรียงตามไทม์ไลน์ในเรื่อง) ของ MCU พอเทียบกับหนังมาร์เวลเรื่องอื่นแล้วสู้ไม่ได้เลย แม้จะเดินตามสูตรมาร์เวล แม้จะมีมุขตลกแทรกอยู่ตลอดเวลา แต่ก็ไม่ได้ตลกหรือสนุกเท่าเรื่องอื่น

ตลอดทั้งเรื่องแทบไม่มีฉากอลังการ ดนตรีประกอบไม่โดดเด่นเท่าที่ควร งาน CGI ถึงจะดีแต่ก็ไม่เท่าเรื่องที่ผ่านมา (มาตรฐานตก ว่าง่ายๆ) เนื้อเรื่องเพลย์เซฟสุดๆ ไม่แหวกแนวเอาเสียเลย ดูแล้วไม่ได้รู้สึกผูกพันกับตัวละครในเรื่องเลย (ยกเว้น Nick Fury ที่รู้จักกันอยู่แล้วกับเจ้ากู๊ส)

Avengers: Endgame
Avengers: Endgame เมษายนนี้ จุดจบของ MCU เฟสสาม /รีวิว Captain Marvel No Spoiler

หน้าที่ (อีกแล้ว) ของหนังเรื่องนี้หน้าที่สุดท้าย คือการเชื่อมโยงกับเรื่องอื่นๆใน MCU โดยเฉพาะ Avengers: Endgame ที่ Captain Marvel อาจจะเป็นตัวละครสำคัญปิดศึกกับธานอส เราจึงได้เห็นกิมมิคต่างๆที่จะคอยสะกิดให้พาลนึกถึงเรื่องอื่นๆ ตัวละครตัวนั้นอาจจะคุ้นหน้า เหตุการณ์ตรงนี้อาจจะดูไปมีความสัมพันธ์กับเรื่องอื่น ไอ้นั่นไอ้นี่มันเป็นมาอย่างนี้นี่เอง

แต่สำคัญสุดคือตัว Captain Marvel เองที่อาจจะเป็นหัวหลักในอนาคตของ MCU ซึ่งโชคร้ายเรื่องนี้กลับดันเธอได้ไม่ดีพอ ไม่มีฉากให้คนดูรู้สึกผูกพันเลย (ยกเว้นอยากเห็นเธอไปอัดกับธานอส) เธอยังไม่มีราศีพอที่จะแบกจักรวาล MCU ไปสู่เฟสต่อๆไปได้ หลังจากนี้ก็คงต้องพึ่ง Avengers: Endgame ว่าเธอจะโดดเด่นแค่ไหน แต่อย่าลืมนะ ว่าเรื่องนั้นมีตัวละครรวมกันอยู่ตั้งกี่ตัว!

Stan Lee
ปู่ Stan Lee ก็ยังอยู่ในเรื่องนี้ด้วยนะ

ก่อนจบรีวิว Captain Marvel กันไป สิ่งที่ต้องชมมาร์เวลสตูดิโอก็คือการสดุดีไว้อาลัยปู่ Stan Lee แต่จะทำออกมาแบบไหนยังไง อันนี้ก็ขอ No Spoiler เหมือนกัน แต่รับรองว่าซึ้งแน่นอน!

รีวิว Captain Marvel No Spoiler โดย Voot

Captain Marvel Official Website

หาหนังดู อ่านรีวิวเรื่องอื่นๆ คลิกที่นี่

 

Leave a comment
The Devil’s Hour ช่วงเวลาปีศาจ ตี 3.33 นาที ที่เต็มไปด้วยเรื่องเซอร์ไพรส์เกินคาด!