รีวิว John Wick: Chapter 3 – Parabellum สปอยล์ ไม่สปอยล์ มีค่าเท่ากัน สนุก!
John Wick: Chapter 3 – Parabellum
สรุป
แอคชั่นสุดมันส์ถึงใจ
Overall
8.5/10User Review
( votes)Pros
- ฉากแอคชั่นสนุกมาก แทบไม่มีพัก
- ลองเทค ไม่เล่นมุมกล้อง นักแสดงเก่งทุกคน
- คิวบู๊หลากหลาย พ่วงหนังฮ่องกงเก่า โหดเลือดสาด
- ขยายเนื้อเรื่องได้น่าสนใจ
Cons
- เนื้อเรื่องหลักแทบไม่ไปไหน ขยายโลกอย่างเดียว
- ฉากเท่ห์ๆ ไม่ค่อยมี เก่งอย่างเดียว
- ฉากแอคชั่นบางฉากดูมี Plot Armor
- เสียดายโทนเรื่องโดนล่า น่าจะใช้เยอะกว่านี้
รีวิว John Wick: Chapter 3 – Parabellum สปอยล์ แต่ทีเด็ดเรื่องนี้อยู่ที่แอคชั่น! สนุกจนไม่อยากให้หนังจบ
John Wick: Chapter 3 – Parabellum
จอห์น วิค แรงกว่านรก 3
Genre: แอคชั่น อาชญากรรม ระทึกขวัญ
Director: Chad Stahelski
Writer: Derek Kolstad
Cinematography: Dan Laustsen
Production: Thunder Road Pictures, 87Eleven Productions
Distributor: Summit Entertainment / Lionsgate
ไม่น่าเชื่อเลยว่าจากหนังทุนเล็กๆ ฝีมือผู้กำกับหน้าใหม่ภาคแรกเมื่อ 5 ปีที่แล้ว จะกลายมาเป็นหนังแอคชั่นชื่อดังปาเข้าไปภาคที่ 3 แล้วในวันนี้ได้ แถมจุดขายก็ไม่ได้เปลี่ยนไปเลยแม้แต่น้อย ทั้งฉากแอคชั่นลองเทค คิวบู๊สุดเท่ห์ ความโหดติดเรต และภาพสวยโทนหม่น
เนื้อเรื่อง John Wick: Chapter 3 – Parabellum ต่อเนื่องจากภาค 2 ทันที John Wick ต้องหาทางเอาตัวรอดจากนักฆ่าทั้งโลกหลังโดนสั่งอัปเปหิเพราะไปฆ่าสมาชิกสภาสูงในพื้นที่โรงแรมคอนติเนนทอล ทำให้เนื้อหาหนังมันน่าสนใจน่าติดตามตั้งแต่ยังไม่เข้าโรงว่าชะตากรรมพระเอกจะเป็นยังไงต่อไป
หนังยังคงติดตาม John Wick เป็นหลัก แต่ในเมื่อเป็นภาคต่อ ถ้าใครยังไม่เคยดูสองภาคแรกก็แนะนำให้ดูก่อนครับ ถึงเนื้อเรื่องจะไม่มีอะไรมากแต่ความอินมันจะไม่ได้จริงๆ
หนังมีฉากแอคชั่นให้ดูเข้มข้นตั้งแต่ต้นเรื่อง John Wick มีฉากฆ่าโหดๆ แปลกๆ ให้ดูเยอะแยะเต็มไปหมด ผู้กำกับยังคงใช้เทคนิคลองเทค (Long Take) ไม่มีการตัดมุมกล้องที่น่ารำคาญ ไม่มีการซูมใกล้ๆ ดึงดูดให้คนดูอินไปกับภาพตรงหน้าได้อย่างดี มองเห็นได้ทุกท่วงท่า แถมยังโหดรุนแรงแบบไม่มีหลบกล้อง มันทำให้หนังดูดิบสมจริงมากๆ
แถมไม่ใช่แค่ Keanu Reeves คนเดียว ผู้ร้ายตัวประกอบทุกคนคือมืออาชีพอย่างแท้จริง ทุกคนถ่ายทอดความรุนแรงถึงใจมากๆ คือจ้องจะฆ่ากันจริงๆ นะ ไม่ใช่อัดๆ ให้ล้มแล้ววิ่งต่อไป แล้วเราไม่ได้เห็นแค่คนสองสามคนในฉาก
ไม่ว่าจะฉากต่อสู้ระยะประชิด ฉากยิงปืน เราเห็นทุกอย่างดำเนินไปบนจอภาพได้ ข้อมูลมันเต็มไปหมดเลย พระเอกกำลังสู้กับคนนึง คนนึงลงไปดิ้น คนนึงกำลังจะลุก อีกคนวิ่งเข้ามา พอทุกอย่างมันรวมกัน บวกกับลองเทค บวกกับการที่ไม่เล่นมุมกล้อง คนดูกะพริบตาไม่ได้เลยจริงๆ
นอกจากฉากแอคชั่นของพระเอก (ที่มีทั้งหมัดเท้า อาวุธปา มีด ปืน สู้บนม้า สู้บนมอเตอร์ไซค์ สู้ในน้ำ) เรายังได้เห็นตัวละครอื่นอย่างโซเฟีย (Halle Berry) สู้ด้วย สู้คู่กับเบลเจี้ยน มาลีนอยส์ 2 ตัว ซึ่งออกมาทั้งดุทั้งน่ารัก (เธอลงทุนเป็นคนฝึกด้วยตัวเองจริงๆ) แปลกใหม่ไม่เหมือนภาคก่อนๆ
แถมเรายังได้เห็นชารอน (Lance Reddick) พ่อบ้านและผู้จัดการโรงแรมคอนติเนนทอลบู๊ด้วย ซึ่งจะเรียกว่าเป็นแฟนเซอร์วิซก็ได้ เพราะถ้าใครดูมาตั้งแต่ภาคแรกคงจะต้องสงสัยว่าไอ้นี่สู้เป็นมั้ย
ความแตกต่างด้านบทแอคชั่นในภาคนี้ก็คือเราไม่ได้เห็นท่วงท่าที่เท่ห์ๆ สวยๆ บ่อยนัก เน้นโหดเน้นตลกร้ายมากกว่า อีกข้อหนึ่งที่เห็นได้ชัดมากคือใส่คิวแอคชั่นแบบหนังฮ่องกงสมัยก่อนมาด้วย
ลองนึกถึงหนังเฉินหลงเลยครับ สู้ๆ กันอยู่ ชนะแล้ว แต่ดันให้โอกาสตั้งตัวใหม่ พูดคุยกันตอนสู้ พูดเยอะเย้ย แทรกความตลกเล็กๆ น้อยๆ ลงไปในคิวบู๊ โชคยังดีที่ใช้ตลกร้าย ยังไปไม่ถึงระดับเฉินหลง ไม่งั้นหนังเสียโทนหมด ที่มีแบบนี้ก็คงคิดว่าเริ่มตันกับ Gun Fu แล้วมั้ง
ส่วนเนื้อเรื่อง ภาคนี้บอกเลยว่าแทบจะไม่ไปไหน ทำออกมาแก้ตัวภาค 2 มากกว่า เพราะเนื้อเรื่องภาคนี้ทำมาเพื่อขยายโลกของนักฆ่า ขยายโลกในหนัง John Wick ให้กว้างและเป็นรูปธรรมมากขึ้นโดยเฉพาะ
โลกเบื้องลึกเบื้องหลังของนักฆ่าในภาค 2 เราเห็นแค่แซมๆ นิดหน่อยต้องมาปะติดปะต่อเอาเองเหมือน Easter’s Egg แต่ภาคนี้เป็นแกนหลักของเรื่องเลย บอกให้คนดูรับรู้ตรงๆ ซ้ำยังมีการเพิ่มอดีตให้กับ John Wick ทั้งวัยเด็กและวีรกรรมในอดีต
ข้อเสียด้านเนื้อเรื่องก็คือไม่ไปไหนอย่างที่บอก ตอนจบแทบจะเหมือนตอนเริ่มต้น หนังใช้เวลาสร้างโลกไปหมด แถมยังมีช่องโหว่ยังมีจุดที่ไม่เคลียร์ด้วย ภาคที่แล้วมีฉากประชาชนแตกตื่นมีฉากคนวิ่งหนี ต้องแอบยิงกันก็มี แต่ภาคนี้คนตายต่อหน้ายังเดินหน้าตาเฉย ไม่รู้ว่าโลกใบนี้สรุปแล้วมันมีสังคมยังไงกันแน่
หนังมีความน่าสนใจตอนต้นเรื่องมากที่สุดเพราะจินตนาการของเราเอง โดนนักฆ่าทั้งโลกตามล่าพระเอกจะเป็นยังไงนะ แต่สุดท้ายส่วนนี้ไปถึงแค่กลางเรื่องเอง อารมณ์โดนล่าต้องระแวงรอบด้านมันหายไปตั้งแต่ตอนนั้น กลายเป็นสู้แบบรุกรับเหมือนสองภาคที่ผ่านมาเหมือนเดิม ถือว่าพลาดโอกาสน่าเสียดายมาก น่าจะเล่นอารมณ์นี้ให้มากกว่านี้ซักหน่อย
แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีไฟต์ใหญ่ๆ หลังจากนั้น John Wick ยังต้องเจอกับไฟต์โหดหินเยอะแยะ โดยเฉพาะตอนท้ายเรื่องที่สู้กับทีมจากสภาสูง มันแสดงถึงความเก่งกาจความเก๋าเกมของพระเอกมาก บอกตรงๆ ดูแล้วนึกถึงตอนตัวเองเล่น Payday เลย ยิงยังไงก็ไม่ตายซักที ล้มไปแล้วมันก็ยังลุกขึ้นมาได้อยู่นั่นแหละ ตัวดูดกระสุน คือถ้าบอกว่าฉากนี้ไม่ได้เอามาจากเกม FPS ความยากสูงๆ ผมไม่เชื่อเลยนะ มันใช่มากๆ เข้าใจความรู้สึก John Wick เลย
สปอยล์ John Wick 3 ภาคนี้ก็ยังไม่จบ แต่คนเขียนบทก็ยังมีปลายเปิดเอาไว้ให้คนดูถกกันบ้าง ว่าจริงๆ แล้ววินสตัน (Ian David McShane) หักหลังจริงหรือเปล่า มันมีทั้งรายละเอียดที่บอกว่าจริงและไม่จริง แถมตั้งแต่ภาค 2 หลายคนคงเดาได้อยู่แล้วว่ายังไงสุดท้ายเนื้อเรื่องก็ต้องมาทางนี้ คือ John Wick ต้องไปล้มสภาสูง มองในแง่นึงก็ดี สมัยนี้ไม่ค่อยมีหนังแอคชั่นดีๆ ให้ดู ยิ่งหนังถ่ายลองเทคแบบนี้ด้วย
แต่ข้อเสียก็คือในเมื่อไตรภาคไม่จบ ค่ายหนังก็คงโลภหากินกับ John Wick ต่อไปเรื่อยๆ เนื้อเรื่องอาจจะแย่กว่าภาคนี้ก็ได้ น่ากังวลไม่ใช่น้อย แถมปมเรื่องไม่ได้จบในภาคแบบ The Fast and Furious ซะด้วย
ด้วยฉากแอคชั่นแบบแทบ Non-stop เนื้อเรื่องที่จบแบบโคตรค้างคา มันทำให้ John Wick: Chapter 3 – Parabellum เป็นหนังสนุกที่ขี้โกง ต้องดูเพราะแอคชั่นเขาทำมาถึงจริงๆ เนื้อเรื่องในฐานะภาคต่อที่ถึงแม้จะไปไม่ถึงไหนแต่ก็กลบได้ด้วยความน่าติดตามจนไม่อยากให้มันจบ
สรุปแล้ว John Wick: Chapter 3 – Parabellum ตอบโจทย์ความคาดหวังด้านแอคชั่นได้ยอดเยี่ยมเช่นเคย แถมยังเติมเต็มความคิดถึงหนังบู๊ฮ่องกงสมัยก่อนให้ด้วย