playinone.com
รีวิว บทความ หนัง ซีรีส์ Netflix สตรีมมิ่งทุกระบบ

Doctor Sleep ลางนรก รีวิว สปอยล์ ภาคต่อที่คนเคยดู The Shining ไม่ควรข้าม

Doctor Sleep ลางนรก

สรุป

สนุกมาก แต่ถ้าอยากให้ฟินต้องดูภาคแรกก่อน หนังดี เก็บรายละเอียดเทพ ถ้าไม่เคยดูภาคแรกจะให้ 8.5

Overall
9/10
9/10
Sending
User Review
5 (1 vote)
Comments Rating 0 (0 reviews)

Pros

  • หนังยอดมนุษย์ที่ผสมผสานกับความลึกลับและน่ากลัวได้ดี
  • นักแสดงเล่นดีมาก Rebecca กับ Kyliegh
  • เรื่องราวเล่าได้ดีมาก ตั้งแต่โดยรวมไปจนถึงการพัฒนาตัวละคร
  • แฟนเซอร์วิสถึงขั้นยิ้มไม่มีหุบ

Cons

  • แสดงดีแค่ไหน แอบราก็เก่งเกินจนโรสแสดงความเหนือไม่ได้เลย
  • แฟนภาคแรกอาจผิดหวังทิ้งแนว Horror ไปเกือบทั้งเรื่อง
  • ต้องดูภาคแรกก่อนถึงจะเข้าถึงเรื่องนี้ได้เต็มที่ ในขณะที่คนเคยดูอาจไม่ชอบแฟนเซอร์วิสยาวครึ่งชั่วโมง
  • เดาตอนจบได้ง่ายมาก (หรือจะใช้คำว่าบอกตอนจบตั้งแต่ต้นเรื่องดี)

ADBRO

Doctor Sleep ลางนรก รีวิว สปอยล์ ภาคต่อที่แตกต่างแทบจะสิ้นเชิง แต่ยังสามารถสานต่อเนื้อเรื่องจากภาคแรกได้อย่างแนบเนียนและสนุกสะกดสายตาตลอดทั้งเรื่อง แถมพ่วงด้วยแฟนเซอร์วิสเอาใจคนที่ยังจำภาคแรกได้!


Doctor Sleep (ลางนรก)
Genre: Horror, Action, Fantasy
Director: Mike Flanagan
Based On: Doctor Sleep (Novel by Stephen King)
Producer: Trevor Macy, Jon Berg
Screenplay: Mike Flanagan
Editor: Mike Flanagan
Cinematography: Michael Fimognari
Music: The Newton Brothers
Production: Intrepid Pictures, Vertigo Entertainment
Distributor: Warner Bros. Pictures


Doctor Sleep ลางนรก รีวิว

ภาคนี้เล่าต่อจากฉากจบภาคแรก แดนนี่ต้องโดนผีร้ายจากโรงแรมโอเวอร์ลุคตามติดตามฆ่า แม้ว่าดิค ผีของชายที่มีพลัง Shining เหมือนกันจะช่วยบอกวิธีกำจัดผีพวกนั้นให้ แต่แดนนี่ก็รู้ดีว่าพวกความชั่วร้ายจะพากันตาม Shining ของเขามาจนเจอตัวไม่จบไม่สิ้น แดนนี่จึงตัดสินใจลดความเสี่ยง ปิดกั้นและไม่ใช้พลังของตัวเองอีก

เวลาผ่านเลยไป เขาเติบโตขึ้นจนอยู่ในวัย 40 ปี จากปมความกลัวในวัยเด็ก เขาติดเหล้าเหมือนกับแจ็ค พ่อของเขา ย้ายที่อยู่ไปเรื่อยๆ จนวันหนึ่งจับพลัดจับพลูเข้ากลุ่มบำบัดเลิกเหล้า และได้งานเป็นบุรุษพยาบาลในบ้านพักคนชรา และนั่นเป็นจุดเริ่มต้นให้เขาได้กลับมาใช้พลัง Shining อย่างเต็มที่อีกครั้งในรอบ 40 ปี แต่ทว่าการเปิดใช้พลังครั้งนี้ ทำให้เขาต้องจูนติดกับเด็กสาวอีกคนหนึ่งชื่อ แอบรา เด็กรุ่นใหม่ที่มีพลัง Shining เหมือนกัน

Doctor Sleep ลางนรก รีวิว สปอยล์
Doctor Sleep ลางนรก รีวิว สปอยล์

ในฐานะที่ The Shining เวอร์ชันหนังขึ้นแท่นคลาสสิกเป็นหนังระดับตำนาน จึงไม่แปลกที่หลายคนจะคาดหวังกับภาคต่ออย่างเรื่องนี้ แม้ว่าฉบับนิยายจะออกมาตั้งแต่ปี 2013 แต่หลายคนก็คงอยากจะดูภาคต่อของเนื้อเรื่องเวอร์ชันคูบริกมากกว่า (หากใครไม่ทราบ สแตนลีย์ คูบริก ผู้กำกับ The Shining สร้างหนังต่างจากเวอร์ชันนิยาย)

แต่ผลที่ออกมามันเกินคาดมากกว่านั้นมาก Doctor Sleep ไม่ใช่เพียงแค่ภาคต่อของเนื้อเรื่องเวอร์ชันคูบริกเท่านั้น แต่นี่ยังเป็นหนังที่ฉีกแนวไปจากภาคแรกแทบจะสิ้นเชิง ทั้งๆ ที่เนื้อเรื่องต่อเนื่องกันโดยตรง จากแนวสยองขวัญผีหลอก กลายมาเป็นแนวแอ็คชันแฟนตาซีแบบซูเปอร์ฮีโร่สู้กับซูเปอร์วิลเลน แต่ยังแฝงความลึกลับความน่ากลัวไว้บ้างไม่ให้หลุดจนเกินไป

Doctor Sleep ลางนรก รีวิว สปอยล์
Doctor Sleep ลางนรก รีวิว สปอยล์

ส่วนตัวแล้วผมไม่เคยดู The Shining มาก่อน พอรู้ว่าเรื่องนี้เป็นภาค 2 ก็เลยตัดสินใจถือเป็นโอกาสหาภาคแรกมาดูซักที วันนั้นเป็นวันจันทร์ พอดูจบก็สนุกดี แต่ก็ไม่ได้ชอบยกสูงขึ้นหิ้งแบบใครหลายคน แล้ววันพุธก็ไปดู Doctor Sleep ทันที ระยะเวลาห่างกันแค่สองวัน แน่นอนว่าเนื้อเรื่องบางแง่มุมของภาคแรกยังติดอยู่ในหัว อารมณ์ยังค้างอยู่บ้าง ผลปรากฏว่าดูภาคสองสนุกตลอดทั้งเรื่องเลย และกลายเป็นว่าชอบทั้งสองภาค!

เหตุผลหลักที่ชอบเรื่องนี้มากก็คือในขณะที่เนื้อเรื่องปะติดปะต่อกับภาคแรกได้แทบจะแนบเนียนแล้ว ภาคนี้ยังสามารถแหวกแนวออกไปยืนเดี่ยวได้ด้วยตัวละครใหม่ๆ และปมใหม่ๆ โดยไม่มีติดขัด เปิดจักรวาลเปิดจินตนาการได้อย่างน่าสนใจ แถมมันยังไปเสริมกับเนื้อเรื่องส่วนต่างๆ ในภาคแรก ตอบคำถามที่เคยมีค้างคาให้ชัดเจนยิ่งขึ้น

เหล่าตัวร้าย เดอะทรูน็อต
เหล่าตัวร้าย เดอะทรูน็อต

บทหนังมีการขยายความสามารถของพลัง Shining จากเดิมที่แค่เห็นผีกับภาพนิมิตได้ ภาคนี้เพิ่มความแฟนตาซีจนไประดับซูเปอร์ฮีโร่ มีการเข้าไปในจิตใจของคนอื่น ยึดร่าง สร้างโลกขึ้นในจิตใจซ้อนกัน และอีกมากมาย คือไม่กั๊กของใดๆ ทั้งสิ้น เปลี่ยนแนวไปแทบจะเหมือนน้องๆ หนังมาร์เวลเลย แต่ในเมื่อแทบจะทุกอย่างเป็นเรื่องราวใหม่ (ยกเว้นพระเอกที่เป็นหน้าเก่า) ตัวหนังเลยไม่ได้รู้สึกว่าหลุดโทนหรือเพ้อเจ้อเลย

นอกจากนี้หนังยังไม่ทำตัวงี่เง่าพยายามจะทำตัวลึกลับ หนังยอมเฉลยบอกคนดูทุกอย่างว่าจริงๆ แล้วภาคแรกมันเกิดอะไรขึ้น หนังบอกว่าพวกผีตามฆ่าก็เพราะอยากสูบกินพลังของผู้มี Shining ตัวโรงแรมเองก็เป็นเหมือนตัวตนชั่วร้ายตัวตนหนึ่ง โทนี่ก็คือพลัง Shining นี่เอง และยังบอกด้วยว่าระบบการจองจำวิญญาณในโรงแรมโอเวอร์ลุคเป็นอย่างไร ซึ่งทั้งหมดนี้มันยิ่งช่วยให้คนดูเข้าใจเรื่องราวโดยรวมได้ง่ายขึ้นและเพลิดเพลินไปกับหนัง

ข้อเสียของเนื้อเรื่องโดยรวมก็คือถ้าใครไม่เคยดู The Shining มาก่อนก็จะอินกับเรื่องนี้น้อยลงไปมาก จะไม่รู้เลยว่าทำไมพระเอกถึงติดเหล้า แล้วมันมีความหมายยังไง ทำไมอยู่ดีๆ เห็นผีแล้วอยากเลิกเหล้า ผีดิคคือใคร ถึงแม้หนังจะเริ่มต้นในช่วงที่แดนนี่ยังเป็นเด็ก หลังภาคแรกจบไม่นาน แต่คนไม่เคยดูก็จะไม่ทราบเบื้องลึกเบื้องหลังที่ซ่อนไว้ ที่สำคัญก็คือจะไม่ได้ฟินกับแฟนเซอร์วิสที่ปรากฏขึ้นบนหน้าจอด้วย!

ฉากแอ็คชันที่ไม่ใช่ใส่กันตูมตาม
ฉากแอ็คชันที่ไม่ใช่ใส่กันตูมตาม

ตัวละครแทบทุกตัวในเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นแอบรา, โรสเดอะแฮท, บิลลี่, ตัวแดนนี่เอง และแม้กระทั่งสมาชิกบางคนในกลุ่ม “เดอะทรูน็อต” ก็มีความโดดเด่นแยกกันอย่างชัดเจนเป็นเอกลักษณ์ (มาก) ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้าหน้าผม บุคลิก หรือแม้กระทั่งฝีมือการแสดงของนักแสดงเอง นี่ทำให้เราเข้าถึงตัวละครได้ง่ายมากและอินไปกับมิติของตัวละครที่แสดงผ่านออกมาจากตัวนักแสดง บางฉากทำให้อดรู้สึกเห็นอกเห็นใจตัวละครไปไม่ได้ แม้กระทั่งฝ่ายเดอะทรูน็อต

โรสเดอะแฮทที่รับบทบาทโดย Rebecca Ferguson เป็นตัวร้ายหลักของภาคนี้ และเป็นผลงานการแสดงติดตามาก เธอสามารถแสดงความลึกลับของสาวอมตะหลายพันปีออกมาได้อย่างมีชั้นเชิง ในขณะที่ยังไม่ทิ้งความสวยสาวของตัวละครออกไป และยังเป็นปิศาจเจ้าแม่ยอดพลังวิเศษผู้เย่อหยิ่งในตนเองอีกด้วย ถือว่าตีบทแตกกระจุย

อีกคนที่ต้องชมมากๆ ก็คือหนูแอบราที่รับบทบาทโดย Kyliegh Curran เจ้าของพลัง Shining รุ่นใหม่ที่มีแนวทางชีวิตแทบจะตรงกันข้ามกับแดนนี่ ถึงแม้จะต้องคอยทำตัวปกติให้พ่อแม่สบายใจ แต่เธอกลับไม่กลัวที่จะใช้พลังของตัวเอง หนำซ้ำยังเป็นเด็กฉลาดไหวพริบดี มีความมั่นใจในตัวเองสูงลิ่วด้วย ซึ่งเธอก็แสดงออกมาได้ชัดแจ๋วเลย

แอบรากับโรส
แอบรากับโรส

โปรดักชันก็ใช่ย่อย การจัดฉาก เสื้อผ้า หน้าผม บทพูด เทคนิค CG ทั้งหมดทำให้รู้สึกได้ว่าบางฉากเรากำลังอ่านนิยายอยู่ ฉากย้อนกลับไปภาคหนึ่งที่ถ่ายทำใหม่สามารถเลียนแบบรายละเอียดได้แทบจะหนึ่งต่อหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นฉาก จังหวะ มุมกล้อง ตำแหน่งยืน กระทั่งนักแสดงที่หามาแทนเหมือนพอใช้ได้กระทั่งการพูดการจา (ไม่ได้ใช้นักแสดงคนเดิม)

โดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วงสุดท้ายของหนังที่แดนนี่พาแอบราย้อนกลับไปที่โรงแรมโอเวอร์ลุก ทีมสร้างเนรมิตขึ้นมาได้ละเอียดสุดๆ แบบว่าเป็นช่วงแฟนเซอร์วิสเต็มที่ สถานที่ก็ใช่ ลำดับเหตุการณ์ก็ย้อนรอยกันเลย ทั้งมุมกล้องตามรถขณะขับไปโรงแรมที่เหมือนเป๊ะ เหตุการณ์บนบันไดที่เปลี่ยนจากพ่อแม่แดนนี่เป็นแดนนี่กับโรส ฉากทางวงกต ฉากแดนนี่ที่โดนโรงแรมสิงถือขวานไล่ล่าแอบรา ฉากแอบราวิ่งหนีผี และรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ สะกิดคนดูที่ใครเห็นแล้วเป็นต้องยิ้ม

เรื่องเสียงเรื่องเพลงประกอบก็ถือว่าดี ถึงแม้จะไม่มี OST ที่ฟังแล้วติดหูเหมือนดนตรีตอนเริ่มเรื่อง The Shining แต่เสียงประกอบในเรื่องนี้ก็ยังสามารถช่วยบิ้วท์อารมณ์ได้ โดยเฉพาะเสียงตุบๆๆๆ ที่เหมือนเสียงหัวใจเต้น มันช่างสร้างความลึกลับและความตึงเครียดได้ดียิ่งนัก แล้วไม่มีการใช้เสียงมาเล่นผีตุ้งแช่ด้วย

(ซ้าย) ภาพจากภาคแรก (ขวา) ภาพย้อนอดีตในภาคสอง
(ซ้าย) ภาพจากภาคแรก (ขวา) ภาพย้อนอดีตในภาคสอง

หนึ่งข้อที่โดดเด่นที่สุดก็คือ message หรือแนวคิดของหนังเรื่องนี้ เรื่องราวทั้งหมดมันคือการส่งต่อระหว่างอาจารย์กับลูกศิษย์พ่วงกับเรื่องกงกรรมกงเกวียน แดนนี่ที่มีประสบการณ์ชีวิตแย่ๆ กับ Shining มาก่อนได้สั่งสอนแอบราให้ใช้พลังนี้เอาตัวรอดจากความชั่วร้ายให้เป็น คอยช่วยเหลือเธอผ่านเรื่องราวทั้งหมดในฐานะผู้ใหญ่คนหนึ่ง แถมยังสอนแนวคิดที่มีต่อพลัง Shining และสุดท้ายก็ต้องมาสละชีวิตเพื่อช่วยชีวิตแอบรา เป็นผีคอยให้คำแนะนำเธอไปจนกว่าจะถึงคราวของแอบราส่งต่อประสบการณ์ให้รุ่นต่อไป ก็เหมือนกับสิ่งที่ดิคทำให้ไว้กับเขาในภาคแรกจนต้องมาจบชีวิตลงด้วยขวานของแจ็ค และกลายเป็นผีสั่งสอนแดนนี่จนถึงกลางเรื่องภาคนี้ (ในขณะที่ดิคเองก็มีย่าตัวเองเป็นคนสอน)

มองในแง่มุมหนึ่ง หนังสองภาคนี้ยังคล้ายกับไตรภาคของ M.Night เรื่อง Unbreakable, Split และ Glass ที่ภาคนึงเล่าเรื่องของตัวละครกลุ่มนึง ภาคนึงเล่าเรื่องของตัวละครอีกกลุ่มฝั่งตรงข้าม แล้วมาจบลงที่ทุกคนเจอกัน ใช้พลังวิเศษสู้กัน ตายเกลี้ยง แล้วส่งต่อให้คนรุ่นใหม่ โดยมีพลังพิเศษเป็นตัวเชื่อมเรื่องราวทั้งหมด เพียงแค่ว่า Doctor Sleep รวมการเล่าเรื่องฝั่งตัวร้าย การมาเจอกันของทุกคน และการปิดชะตากรรมผู้เริ่มต้นแล้วส่งต่อให้หน้าใหม่ไว้ในหนังเรื่องเดียวกันแค่นั้นเอง

แต่ message ก็เป็นข้อเสียในตัวของหนัง คือมันทำให้เดาฉากจบได้ตั้งแต่ต้นเรื่อง เพราะบทหนังชัดเจนมากๆ ใน message นี้ แทบจะพูดบอกคนดูเลยก็ว่าได้ ทั้งยังมีเรื่องพลังของแอบราที่เก่งเกินในฐานะเด็กเล็กที่ไม่มีคนสอน แต่ดันเล่นงานตัวร้ายได้ง่ายเป็นขนมเลย นี่ถ้าไม่ติดว่าเดอะทรูน็อตมีหลายคน แดนนี่คงไม่มีบทไปแล้ว

แดนนี่กับดิค "อาจารย์" กับ "ศิษย์"
แดนนี่กับดิค “อาจารย์” กับ “ศิษย์”

Doctor Sleep เป็นหนังที่สามารถดูได้โดยไม่ต้องดูภาคแรก เพราะเบื้องหน้ามันก็คือหนังยอดมนุษย์นี่แหละ แถมยังมีชั้นเชิงมากกว่าจะมาซัดกันโง่ๆ ด้วย ด้วยเวลาสองชั่วโมงกว่าทำให้บทสามารถค่อยๆ สานเรื่องราวต่างๆ ได้อย่างไม่เร่งรีบและพอดีเต็มอิ่ม หนังเคลียร์แทบจะทุกคำถาม บทโง่ๆ พวกกำลังจะบอกความจริงแล้วกระอักเลือดตายก่อนอันนี้ไม่มี ไม่หงุดหงิดแน่นอน แต่ด้วยเรต R และฉากเด็กตายที่ไม่เล่นมุมกล้องเล่นเทคนิคแต่อย่างใดก็อาจทำให้ไม่ถูกจริตบางคนนัก

แต่ความลึกมันซ่อนไว้พ่วงกับ The Shining ดังนั้นถ้าใครพอจะมีเวลาก็ขอแนะนำให้ดูภาคแรกก่อนแล้วกันนะ (อย่างน้อยที่สุดก็ถือว่ากลับไปดูหนึ่งในหนังคลาสสิกที่ขึ้นชื่อว่าควรดู)

Rebecca Ferguson ในเรื่องสเน่ห์เยอะมาก
Rebecca Ferguson ในเรื่องสเน่ห์เยอะมาก

Leave a comment
The Devil’s Hour ช่วงเวลาปีศาจ ตี 3.33 นาที ที่เต็มไปด้วยเรื่องเซอร์ไพรส์เกินคาด!