playinone.com
รีวิว บทความ หนัง ซีรีส์ Netflix สตรีมมิ่งทุกระบบ

รีวิว Metro Exodus “สานต่อเรื่องราวหลังหายนะกับการฉีกกฏเดิมๆ ด้วยเกมเพลย์สุดฮาร์ดคอร์”

สรุป

Metro Exodus ยังคงเป็นเกมในซีรีส์ Metro ที่มีคุณภาพยอดเยี่ยม การเปลี่ยนแปลงระบบการเล่นแสดงให้เห็นว่า Open-world FPS เองก็สามารถนำเสนอเรื่องราวที่เข้มข้นลงตัวได้ ถ้าคุณชอบ Metro ภาคก่อนๆ และกำลังมองหาอะไรที่สดใหม่กว่าเดิม นี่คือเกมที่คุณไม่ควรพลาด

Overall
8/10
8/10
Sending
User Review
0 (0 votes)
Comments Rating 0 (0 reviews)

Pros

  • เนื้อเรื่องดี หลากหลายอารมณ์ เข้าใจง่ายแม้ไม่เคยเล่นภาคก่อน และมีฉากจบที่แตกต่างไปตามการกระทำของผู้เล่น
  • ระบบเกมเพลย์สุดฮาร์ดคอร์ จริงจัง แผนที่กึ่ง Open World ทำให้เกมดูสดใหม่และท้าทาย
  • กราฟิกสวยงาม สภาพแวลล้อมหลากหลายดูดี ระบบเสียงดุดันหนักแน่น

Cons

  • ปัญหาทางเทคนิคและบัคจุกจิกภายในเกม
  • ภารกิจสุดท้ายที่นำเสนอเป็นเส้นตรงมากเกินไปจนน่าเสียดาย เนื้อเรื่องอาจจะพีคแต่อารมณ์เกมอาจจะดรอปลง
  • Publisher สุดห่วยแตก และความเป็น Exclusive ของเกมเวอร์ชั่น PC

ADBRO

รีวิว Metro Exodus – แม้ผมจะเกลียดการกระทำของ Deep Silver และไม่ชอบความเป็น Exclusive มากขนาดไหน แต่ก็ไม่อาจปฏิเสธความจริงได้ว่า Metro Exodus นั้นยังคงเป็นเกมภาคต่อที่ยอดเยี่ยมซึ่งถูกสร้างสรรค์โดยทีมชั้นยอด เพราะตลอดระยะเวลากว่า 27 ชั่วโมงตั้งแต่เริ่มต้นจนจบเกม สิ่งที่ผมได้รับคือ ความสนุก ความสดใหม่ และเนื้อหาที่น่าติดตาม ซึ่งทั้งหมดนี้ช่วยยืนยันได้เลยว่า “นี่คืออีกหนึ่งเกมในซีรีส์ Metro ที่ยอดเยี่ยม ร่วมสมัย และน่าหลงใหลมากที่สุด ไม่ว่าคุณจะเป็นผู้เล่นสายเนื้อเรื่องหรือชอบเสพเกมเพลย์ก็ตามที”

องค์ประกอบหลายอย่างหากไม่นับที่เนื้อเรื่อง ตัวละคร และวิธีนำเสนอแบบเก่า ส่วนใหญ่แล้วก็แทบจะไม่ได้มีอะไรที่ทำให้รู้สึกว่านี่คือ Metro อย่างที่เคยเล่นมาก่อนเลย!! แต่สำหรับผมนั่นถือว่าเป็นเรื่องที่…“ดี” เพราะหากพูดกันที่มุมมองในเรื่องของเกมเพลย์เป็นหลัก ที่ผ่านมาคุณแทบจะไม่มีอิสระที่จะได้ลองเล่นอะไรมากมายนัก เนื่องจากตัวเกมขับเคลื่อนด้วยการเล่าเรื่องเป็นฉากๆ สไตล์เดียวกับ Old School FPS แบบที่เล่นจบแล้วก็แล้วกัน แต่สำหรับ “Exodus” แม้มันจะมีชื่อ Metro แปะติดอยู่ข้างหน้าเพื่อให้รู้ว่า “นี่คือภาคต่อนะเฮ้ย!” แต่รูปแบบการนำเสนอและวิธีการเล่นโดยรวมกลับไม่ได้ยึดติดอยู่กับสิ่งที่คุณเคยเห็นมาก่อนเลย

STALKER Atmosphere
S.T.A.L.K.E.R. อาจจะเป็นอีกหนึ่งเกมที่คุณกำลังคิดถึง เมื่อเล่น Metro ภาคนี้ – รีวิว Metro Exodus

หลายองค์ประกอบในเกมภาคนี้แทบจะถูกยกเครื่องปรุงแต่งมาใหม่ เปลี่ยนโฉมจากเกมเดินยิงที่เล่าเรื่องหนักๆ ภายใต้บรรยากาศแบบหม่นๆ ให้กลับกลายเป็นเกมยิงเนื้อเรื่องเข้มข้นหลายอารมณ์ซึ่งผสมผสานเข้ากับเกมเพลย์เอาชีวิตรอด โดยมีฉากหลังเป็นโลกกึ่ง Open World หลากหลายสภาพแวดล้อมมารองรับ สิ่งที่มันนำเสนอชวนให้นึกถึงเกมยิงอื่นๆ ที่มีความคล้ายกันในเรื่องของธีม ไม่ว่าจะเป็น RAGE, Fallout New Vegas หรือแม้กระทั่ง S.T.A.L.K.E.R.   เมื่อคุณกำลังเล่น Metro Exodus มันจึงเป็นความรู้สึกที่มากกว่าแค่การเล่นเกมยิงในซีรีส์ Metro หรือการได้รับรู้เรื่องราวที่ถูกสานต่อ มันเหมือนคุณกำลังเล่นเกมหลายๆเกมที่กล่าวไป โดยเอามันมาปั่นรวมกันแล้วนำเสนอออกมาในแบบของ 4A Games เอง การกล้าเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้แสดงให้เห็นถึงศักยภาพซึ่งอาจนำไปต่อยอดเป็นเกมอื่นๆ อีก รวมถึงคุณอาจจะได้เห็น Metro ที่เป็น Open World/Survival แบบเต็มตัวเลยก็ได้ในอนาคต

เรื่องราวที่น่าติดตามและการบอกเล่าแบบเป็นธรรมชาติ

กล่าวถึงเนื้อเรื่องแบบคร่าวๆ สำหรับเกมภาคนี้คุณจะยังคงได้รับบทเป็น Artyom ตัวเอกคนเดิมจากเกมภาคก่อนซึ่งได้รับสัญญาณวิทยุจากนอกเขต Moscow ทำให้เชื่อว่าน่าจะยังมีสถานที่อื่นซึ่งรอดพ้นจากรังสีและภัยสงครามเหลืออยู่ การออกเดินทางเพื่อค้นหาคำตอบของคำถามที่คาใจนี้จึงได้เริ่มต้นขึ้น สำหรับเรื่องราวเชิงลึก ตัวละครที่มีส่วนร่วมต่างๆ ในภาคนี้คุณสามารถตามไปอ่านกันต่อได้โดย คลิกที่นี่

Metro Exodus Caspian Chapter
บางครั้งการนั่งฟังเรื่องราวจากตัวละคร ก็ทำให้คุณเข้าถึงเนื้อหาบางอย่างหรืออินไปกับอารมณ์เกมมากว่าเดิม – รีวิว Metro Exodus

ตัวเกมแบ่งเนื้อหาออกเป็น 7 Chapter โดยผสมผสานการเล่าเรื่องเป็นเส้นตรงสลับกับการเล่นในแผนที่กึ่ง Open World และจุดเด่นที่สุดในการเล่าเรื่องก็คือ ตัวเกมมีการสอดแทรกเรื่องของ Lore เนื้อหาย่อยๆ และเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยของสิ่งต่างๆ ไว้ในบทสนทนาของ NPC และนำเสนอมันออกมาให้กับผู้เล่นอย่างเป็นธรรมชาติผ่านการฟัง การพูดคุย มากกว่าที่จะให้คุณรับรู้ทุกอย่างจากภารกิจหลักหรือไปไล่คุ้ยเอกสารที่เก็บได้รายทางแล้วอ่านเอา การที่จะเก็บรายละเอียดด้านเนื้อหาให้ครอบคลุมว่าแต่ละฝ่ายที่คุณพบเจอนั้นมีที่มาที่ไปหรือเรื่องราวยังไง คุณอาจจะต้องใช้เวลาในการเล่นที่นานมากเพราะบทสนทนารวมถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นเป็นแบบ Dynamic ซึ่งจะเปลี่ยนไปมาตามการกระทำของผู้เล่น แม้บทที่นำเสนอจะมีจำนวนจำกัด มีหมดเมื่อฟังไปนานๆ แต่การนำเสนอออกมานั้นบางครั้งก็ไม่ได้เรียงลำดับ ขึ้นอยู่กับว่าคุณมีปฏิสัมพันธ์กับ NPC คนไหนและอย่างไร

ทุกอย่างในเกมที่ตัวละครสามารถมีปฏิสัมพันธ์ได้ทั้งทางตรงและอ้อมมักจะมีเรื่องราวซ่อนอยู่ ตั้งแต่การพูดคุยของเพื่อนร่วมทีม เสียงจากวิทยุ หรือกิจกรรมอย่างการสูบบุหรี่ด้วยกัน กินอาหาร เล่นดนตรีร่วมกันหรือนั่งล้อมวงพูดคุย ทุกอย่างมีเรื่องราวแบบที่ไม่รู้สึกหมดสิ้นหากคุณลองตั้งใจฟังและสังเกตุดูดีๆ  ตัวละครเหล่านี้จะตอบสนองต่อคุณตามการกระทำแบบเป็นธรรมชาติ ถ้าคุณมีท่าทีจะเลิกสนใจฟังอย่างการวิ่งออกห่าง พวกมันก็จะหยุดคุย กลับกันถ้าคุณยังนั่งฟังไม่ยอมไปไหน พวกมันก็จะชวนคุณคุยไปเรื่อยๆ หรือจนกว่าบทที่เขียนไว้จะหมด

Metro Exodus Activities2Metro Exodus Activities

การตอบสนองแบบนี้ให้ความรู้สึกว่าสิ่งต่างๆ รอบตัวมันมีชีวิตชีวามาก และทั้งหมดนี้อยู่นอกเหนือคัทซีนหลักซึ่งแปลว่าถ้าคุณไม่ทันสังเกตุบทสนทนารอบตัว ก็เป็นไปได้ว่าคุณอาจจะพลาด Lore หรือเนื้อหาบางอย่างที่ช่วยเพิ่มอถรรสในการเล่นไปอย่างน่าเสียดาย และสำหรับคนเล่นสายเนื้อเรื่องที่มาเจอระบบเกมแบบนี้ การลงทุนเล่นเกมซ้ำอีก 1-2 รอบเพื่อเก็บรายละเอียดของเนื้อหาก็เป็นอะไรที่ดูจะคุ้มค่าและไม่น่าเบื่อเกินไปด้วย 

เปรียบเทียบคุณภาพของกราฟิกของ Metro Exodus บน 3 แพลตฟอร์ม

กราฟิกและการแสดงผลของตัวเกมบน 3 แพลตฟอร์ม ตัวเกมเวอร์ชั่น PC ดูจะได้เปรียบที่สุดเพราะรองรับเทคโนโลยีการแสดงผลแบบใหม่อย่าง Real-time ray tracing (RTX) และยังมี Hair work, DLSS ของ Nvidia พ่วงมาด้วย ทำให้ผู้ที่ใช้การ์ดจอค่ายเขียวซึ่งรองรับเทคโนโลยีตัวนี้ได้การแสดงผลเรื่องแสงเงาที่สวยงามมีรายละเอียด และถึงแม้จะไม่เปิดใช้งาน Ray Tracing หรือ DLSS เพื่อลดรอยหยักแต่ภาพที่ได้ก็ยังคงดูดีคมชัด สวยงามมีรายละเอียดในระดับมาตรฐานของเกม AAA บน PC สำหรับความแตกต่างของคุณภาพกราฟิกจริงๆ เมื่อเปิดใช้ RTX กับไม่ใช้ คุณสามารถดูได้ที่วีดีโอข้างล่างนี่ครับ

สำหรับตัวเกมเวอร์ชั่นคอนโซลนั้นการแสดงผลเรื่องแสงเงาและความคมชัดของภาพบน PS4 ดูเหมือนจะทำได้ดีกว่า Xbox One พอสมควร  ส่วนเรื่องเฟรมเรทที่ได้นั้นเท่ากันเพราะมีการล็อกไว้ที่ 30fps โดยรวมแล้วการแสดงผลบนคอนโซลทั้ง 2 แพลตฟอร์มก็ถือว่าทำได้ค่อนข้างน่าประทับใจ เพราะถ้าหากเทียบกันที่สเป็คของฮาร์ดแวร์ภายในแล้ว คอนโซลที่มีอายุกว่า 6 ปี ก็สามารถแสดงผลตัวเกมได้ใกล้เคียงกับ PC ที่ใช้เทคโนโลยีในปัจจุบัน ภาพที่ออกมาก็ไม่ได้แตกต่างมากนักหากไม่มานั่งจับผิดสังเกตุกันแบบจริงจัง

Gunplay ที่สนุกและระบบการเล่นสุดฮาร์ดคอร์

ไม่ว่าคุณจะเริ่มต้นเล่นที่ความยากระดับไหน Exodus ก็พร้อมจะมอบประสบการณ์อันน่าจดจำให้กับคุณพอๆกัน (แต่ถ้าคุณชอบความสมจริง โหดร้าย เราแนะนำให้เริ่มที่ความยากแบบ Ranger) เพราะเกมเพลย์โดยรวมมีความฮาร์ดคอร์มากกว่าเกมยิงทั่วไป ทุกสิ่งทุกอย่างในเกมมีความจริงจังและสมจริง อย่างเรื่องของการออกสำรวจสถานที่ต่างๆ ที่บอกลาการวาปไปยัง Check point หรือ Outpost ได้เลย เพราะเกมนี้มันไม่มี lol !!

Metro Exodus Map
แผนที่ในเกมที่ต้องหยิบมาดูกันเองแบบ Manual – รีวิว Metro Exodus

ระบบสำรวจใน Metro Exodus นั้นไม่มี Mini Map ไม่มี Fast Travel และไม่มีการแสดงตำแหน่งภารกิจบนหน้าจอปกติ สิ่งที่คุณทำได้คือ กดดูกระดานแผนที่เพื่อดูตำแหน่งที่คุณจะไป แต่แผนที่ก็ไม่ได้มีรายละเอียดให้เห็นตั้งแต่แรก เพราะเกมจะไม่บอกว่าอะไรอยู่ตรงไหน ไม่บอกว่าสถานที่ไหนมีอะไรสำคัญ การเดินทางไปยังตำแหน่งต่างๆ บนแผนที่คือการเดินสำรวจด้วยตัวเองจริงๆ ซึ่งมันอาจต้องใช้เวลากันเป็นวัน (ในเกม) เกมจะมีการให้เบาะแสแก่ผู้เล่นผ่านบทสนทนาของตัวละคร เสียงทางวิทยุ รวมถึงการใช้กล้องส่องทางไกลเพื่อส่องหารายละเอียดต่างๆ ดังนั้นทักษะด้านการฟัง อ่าน และการสังเกตุจึงมีผลต่อเวลาที่ใช้ในการเล่นพอสมควร แต่เนื่องจากเกมค่อนข้างจะอิงกับการเล่นแบบเอาชีวิตรอดอยู่กลายๆ ตลอดการเล่นก็จะมี Safe house กระจายอยู่ตามที่ต่างๆ ให้คุณได้ใช้นอนพักรักษาตัว เร่งช่วงเวลา รวมถึงสามารถจัดแจงสร้างอาวุธและเครื่องกระสุนเพื่อเตรียมรับมือกับการเดินทางในวันใหม่ต่อไปด้วย นี่ถ้ามีเรื่องของความหิว การนอน หรืออาการเจ็บป่วยเข้ามา เกมนี้ก็แทบจะกลายเป็นเกมแนว Survival แบบเต็มตัวแล้ว

การเช็ด การถอดหรือใส่หน้ากาก เปลี่ยนฟิลเตอร์ การดูนาฬิกาที่ข้อมือและฟังเสียงเครื่องวัดค่ารังสีที่ให้ความรู้สึกถึงความสมจริงยังคงมีอยู่เหมือนเดิม แต่สิ่งที่ Metro Exodus เพิ่มเข้ามาก็คือ ระบบวันเวลาแบบ Day/Night Cycle และ Dynamic Weather ที่คอยสร้างสรรค์สภาพอากาศในฉากโลกเปิดแบบสุ่มซึ่งส่งผลไปถึงการเล่นทั้งตัวคุณและเหล่า Ai ทำให้การเล่นในสภาพแวดล้อมเดิมๆ นั้นไม่น่าเบื่อและยังสามารถพลิกแพลงใช้เป็นกลยุทธ์ในการเล่นจริงได้ด้วย

Metro Exodus Sand storm
สภาพอากาศแบบสุุ่มที่อาจเกิดขึ้นได้ตลอดเวลาในเกม – รีวิว Metro Exodus

ช่วงเวลาและสภาพอากาศที่ต่างกันจะส่งผลต่อพฤติกรรมของ AI ที่เป็นพวกสัตว์กลายพันธุ์ซึ่งกระจายอยู่ในฉาก การเลือกเดินทางไปยังสถานที่บางแห่งในเวลากลางวันจึงอาจจะง่ายและปลอดภัยกว่าช่วงเวลาค่ำคืน ในขณะที่การบุกเข้าโจมตีรังโจรในเวลากลางคืนอาจสร้างความได้เปรียบให้กับคุณมากกว่าเนื่องจากวิสัยทัศน์และการมองเห็นที่จำกัด และนอกจากความมีชีวิตชีวาของธรรมชาติในเกมที่คุณจะรับรู้ได้แล้ว สภาพอากาศและสภาพแวดล้อมที่เลวร้ายเองก็ส่งผลต่อการเล่นโดยตรงด้วย มันอาจทำให้คุณเคลื่อนที่ช้าลง เหนื่อยง่าย ลดวิสัยทัศน์ในการมองเห็นเส้นทางข้างหน้า และอาวุธอาจเสื่อมสภาพเร็วขึ้นตามไปด้วย

Crafting System
การสร้างสิ่งของทั่วไปทำได้โดยการกดใช้กระเป๋า แต่บางอย่างก็ต้องสร้างที่โต๊ะเครื่องมือใน Safe horse – รีวิว Metro Exodus

ภาคนี้มาพร้อมกับระบบสร้างไอเทมแบบเต็มตัว ไม่มีการเอากระสุนปืนไปแลกกับของเหมือนภาคก่อนอีกแล้ว คุณอยากได้อะไรก็ต้องออกไปหาหรือเก็บชิ้นส่วนมาสร้างเอาเอง เกมให้คุณสร้างได้ตั้งแต่กระสุน กล่องยา ฟิลเตอร์หน้ากาก ไปจนถึงการอัพเกรดอุปกรณ์หลักอย่างชุดเกราะ หน้ากาก ไฟฉาย เข็มทิศ และกล้องมองกลางคืน มีชิ้นส่วนมากถึง 12 แบบมาให้คุณได้ออกไล่ตามหาในแผนที่ต่างๆ เพื่อนำมาเสริมสมถรรณะให้กับตัวคุณ ส่วนเรื่องระบบอาวุธ ปืนแต่ละชนิดเองมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ถูกออกแบบมาได้อย่างโดดเด่นและมาพร้อมกับระบบปรับแต่งชิ้นส่วนให้เล่นกันแบบจัดเต็ม ปืนส่วนใหญ่จะสามารถแต่งระบบลำกล้อง พานท้าย กล้องเล็ง แมกกาซีน หรือแม้กระทั่งเปลี่ยนระบบการยิงให้เหมาะสมกับการใช้งาน พลิกแพลงได้แทบจะทุกสถานการณ์ เช่น ปืนพกธรรมดาก็แปลงเป็น SMG ได้โดยการเปลี่ยนระบบการยิงและลำกล้อง หรือจะเปลี่ยนปืนลูกโม่ให้กลายเป็นปืนสไนเปอร์ย่อมๆ ก็ได้เช่นกัน

Metro Exodus Modify Weapon
ลูกโม่ธรรมดาเมื่อเปลี่ยนลำกล้องก็กลายเป็นสไนเปอร์ย่อมๆ – รีวิว Metro Exodus

Gunplay โดยรวมยังคงสนุก ลื่นไหล แต่ก็ไม่ค่อยจัดจ้านหรือแตกต่างต่างจากภาคก่อนมากนัก ส่วนหนึ่งอาจจะเพราะ Metro เองไม่ได้เป็นเกมที่เน้นการยิงกันมากมายตามสไตล์เกมยิงแบรนด์อื่นๆ การสลับเปลี่ยนอาวุธยังคงทำได้ง่ายและคล่องตัว แต่ภาคนี้จะบังคับให้คุณเอาอาวุธติดตัวไปได้เพียง 3 ชนิด อาวุธต่างๆ มีการเสื่อมสภาพตามการใช้งานเหมือนจริง ยิ่งคุณใช้งานมาก หรือกระโดดลงน้ำลุยฝุ่นลุยโคลน ปืนของคุณก็จะสกปรกไวมากขึ้นจนอาจมีปัญหายิงไม่ออกหรือขัดลำกล้อง กระทั่งรูปทรงของปืนเองหรือการเลือกชิ้นส่วนต่างๆ มาประกอบโดยไม่ได้ทำความสะอาดก็มีผล ทำให้ฝุ่นหรือสิ่งสกปรกเข้าไปในตัวปืนได้ง่ายเช่นกัน ปืนที่สกปรกจะเริ่มมีคราบเขม่าหรือแม้กระทั่งโคลนติดเกรอะกังให้เห็น รูปลักษณ์ก็จะเปลี่ยนตามไปด้วยจนคุณสังเกตเห็นได้ง่ายๆ

Surrender
“น็อค” หรือ “สังหาร” อาจส่งผลไปยังฉากจบสุดท้ายของเกมด้วย – รีวิว Metro Exodus

AI ศัตรูตอบสนองได้ค่อนข้างดี มีการทำงานร่วมกันเป็นทีมเพื่อโจมตีและรู้จักการยอมแพ้ ยกมือมอบตัว เมื่อเห็นเพื่อนๆ ถูกยิงล้มตายไปหลายคนจนคิดว่าสู้ไม่ได้ ศัตรูมีการตอบสนองต่อเสียงรอบข้างรวมถึงระยะมองเห็นในที่มืดและสว่างอย่างสมจริง สิ่งนี้ทำให้เกิดการเล่นได้หลากหลายสไตล์ ขึ้นอยู่กับว่าคุณจะสร้างกลยุทธ์โดยอาศัยความได้เปรียบของสภาพแวดล้อมไปในทางไหน ทั้งการเล่นแบบลอบเร้นในตอนกลางคืน การซุ่มโจมตีโดยใช้เสียงหลอกล่อในตอนกลางวัน หรือแม้กระทั่งพุ่มไม้ที่สุดแสนจะธรรมดาแต่รกทึบจนมองไม่เห็นก็อาจจะกลายเป็นที่กำบังอันทรงประสิทธิภาพได้อย่างไม่คาดคิด กระนั้นเหล่า AI ศัตรูก็ยังมีข้อเสียแปลกๆ ให้เห็นอยู่บ้างอย่างเช่น บางครั้งพวกมันก็มองเห็นคุณทะลุที่กำบัง หรือไม่ก็ยืนซื้อบื้อให้คุณสอยเล่นๆ แม้เพื่อนข้างๆ จะพึ่งถูกยิงล้มไปต่อหน้าต่อตา แต่ความผิดพลาดของ AI ก็ไม่ได้เกิดให้เห็นบ่อยนัก ในภาพรวมสำหรับเกมยิงแล้ว คุณภาพส่วนนี้จัดว่าทำได้ดี แม้จะไม่สมบูรณ์แบบที่สุดแต่ก็ไม่ได้แย่อะไรครับ

รองรับ Lighting Integration จาก Corsair


สำหรับผู้ที่เล่นเกมนี้บน PC และใช้อุปกรณ์ยี่ห้อ Corsair ที่มี RGB  ตัวเกมสนับสนุนระบบ Lighting Integration จากโปรแกรม ICUE โดยตรงมาเลย ทุกครั้งที่คุณเข้าเล่นเกม ไฟ RGB ของอุปกรณ์ต่างๆ อย่างคีย์บอร์ด เมาท์ แผ่นรองเมาท์หรือกระทั่งหูฟัง จะเปลี่ยนสีสันการแสดงผลไปโดยอัตโนมัติดังที่คุณเห็นในวีดีโอด้านบน แสงสีจะเปลี่ยนตามการกระทำสิ่งต่างๆในเกม อาทิ ทุกครั้งที่คุณจุดไฟแช็กในเกม คีย์บอร์ดของคุณก็จะสว่างวาบ ส่งแสงวิ่งเป็นเวฟเหมือนเวลาจุดไฟจริงๆ หรือการนำเสนอเนื้อหาบางช่วงที่ตื่นเต้น ไฟ RGB ก็จะกระพริบไปตามเสียงเพลงให้ผู้เล่นได้รู้สึกถึงจังหวะของเกม หรือหากคุณบาดเจ็บใกล้ตาย RGB ทุกชิ้นก็จะส่งแสงสีแดงออกมาเตือน

ถ้าคุณเป็นคนชอบ RGB และมีอุปกรณ์ยี่ห้อนี้อยู่แล้ว ระบบนี้ก็เหมือนเป็นโบนัสที่ช่วยเพิ่มอถรรสเวลาที่คุณเล่นเกม แม้มันจะไม่ได้ส่งผลอะไรไปถึงตัวเกมโดยตรงหรือทำให้เล่นดีขึ้น แต่แสงสีที่เปลี่ยนไปมาก็ดูสวยงามและสร้างอารมณ์ร่วมไปกับตัวเกมในหลายจังหวะ

ปัญหาทางเทคนิค

สำหรับเกมเวอร์ชั่น PC ตัวเกมไม่มีปัญหาเรื่อง Performance ใดๆ และสามารถแสดงผลได้อย่างลื่นไหลแม้จะเปิดตัวเลือกกราฟิกในระดับสูงสุด ซึ่งหากเครื่องคุณผ่านสเป็คขั้นแนะนำก็ควรจะเล่นได้ไม่มีปัญหาเช่นกัน แต่ตัวเกมดันมีปัญหาทางเทคนิคเล็กๆ น้อยๆ มาคอยกวนใจแทน อาทิ เมื่อกดเข้าเกมแล้วเกิดอาการค้างอยู่ที่หน้าโลโก้ กดเข้าเกมแล้วเกิดอาการ Not Respond ซึ่งถ้าคุณโชคดีก็อาจจะสามารถกด End Task ปิดโปรแกรมได้ แต่ถ้าหากไม่ วิธีแก้อย่างเดียวคือการกด Hard Reset ซึ่งอาจจะพาลให้ PC ของคุณมีปัญหาตามมาซะอีก

นอกจากนี้ตัวเกมยังมีบัคที่ส่งผลต่อการเล่นโดยตรงด้วย เช่น การเกิดในจุด Checkpoint ที่ส่งคุณไปลงท่ามกลางฝูงศัตรู ไฟฉายที่เปิดไม่ติดหรือปิดไม่ได้ถ้าคุณดันกดเปิดไฟเล่นขณะที่อยู่บนรถ ตัวละครเดินติดสิ่งของหรือกำแพงจนบางครั้งต้องแก้ด้วยการ load เกมใหม่ รวมถึงตำแหน่งในการปีนข้ามสิ่งกีดขวางบางแห่งไม่ตรงหรือใช้งานไม่ได้  แม้ปัญหาทั้งหมดจะไม่ได้ร้ายแรงและสามารถแก้ได้ด้วยการ Patch เกมในอนาคต แต่ก็ต้องยอมรับว่ามันทำให้อารมณ์เกมขณะที่เล่นมีอาการสะดุดและหัวเสียได้เหมือนกัน

สรุปภาพรวม

4A Games ยังคงสร้างสรรค์ผลงานคุณภาพได้อย่างคงเส้นคงวา และ Metro Exodus เองก็ได้พิสูจน์แล้วว่า การลองทำอะไรใหม่ๆ โดยใช้สูตรสำเร็จแบบเดิมเป็นพื้นฐานยังคงเวิร์คได้อยู่เหมือนกัน ตัวเกมใช้เนื้อหาที่เข้มข้นมาผลักดันความสนใจของผู้เล่นเหมือนเดิม แต่ก็สร้างความรู้สึกสดใหม่โดยการเพิ่มเกมเพลย์ซึ่งไม่เคยมีมาก่อนเข้ามาได้อย่างลงตัว ทำให้คนเล่นรู้สึกมี Progression ร่วมไปกับตัวเกมซึ่งน่าประทับใจทีเดียว

Metro Exodus Last Mission
“To the Death City” – รีวิว Metro Exodus

สำหรับใครที่ชอบ Metro ภาคก่อนๆ เป็นทุนอยู่แล้ว ก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่คุณจะไม่ลองเล่นภาคนี้ โดยเฉพาะเมื่อมันหลุดจากการเป็น Time Exclusive เมื่อถึงเวลาที่ควร (ส่วนใครที่เล่นเกมบนคอนโซลเป็นหลักก็สบายไป) และจนกว่าจะถึงวันนั้นผมเชื่อว่าตัวเกมเองก็น่าจะสมบูรณ์มากกว่าที่รีวิว ณ ตอนนี้ ทั้งคอนเทนด์ใหม่จาก Season Pass และการแก้บัคต่างๆ ด้วยครับ

ติดตามรีวิวหนัง เกม และอื่นๆ ได้ที่นี่

Leave a comment
The Devil’s Hour ช่วงเวลาปีศาจ ตี 3.33 นาที ที่เต็มไปด้วยเรื่องเซอร์ไพรส์เกินคาด!