playinone.com
รีวิว บทความ หนัง ซีรีส์ Netflix สตรีมมิ่งทุกระบบ

Review – Resident Evil 2 Remake “21 ปีที่คุ้มค่าแก่การรอคอย”

สรุป

ยอดเยี่ยมในทุกองค์ประกอบ คุณภาพเกินราคา เป็นการ Remake ที่ให้ความรู้สึกเหมือนเล่นเกมใหม่ทั้งหมด เกมเพลย์ สภาพแวดล้อม งานศิลป์หลอนได้สุดขั้วดั่งที่ RE2 ในจินตนาการควรจะเป็น

Overall
9/10
9/10
Sending
User Review
0 (0 votes)
Comments Rating 0 (0 reviews)

Pros

  • ยอดเยี่ยมในทุกองค์ประกอบ ทั้งส่วนเกมเพลย์และการออกแบบ
  • มีความสดใหม่ในการนำเสนอ ไม่รู้สึกว่าเป็นการเอาของเก่ามาทำใหม่
  • นำเสนอความเป็น Survival ได้อย่างเต็มเปี่ยม อย่างที่ Resident Evil ควรจะเป็น

Cons

  • ความไม่เชื่อมโยงกันของการกระทำระหว่างเนื้อเรื่องที่ขาดหายไป
  • ปัญหาเรื่องของการแสดงผล และบัคจุกจิกประปราย
  • DLC มากมายตามสไตล์ Capcom

ADBRO

การประกาศสร้าง Resident Evil 2 Remake ของ Capcom เสมือนการพาผู้เล่นย้อนเวลากลับไปสัมผัสกับรากเง้าของ “การเอาชีวิตรอด” จากเกมในซีรีส์ RE ที่หลายคนคุ้นเคยในวันวาน Resident Evil 2 ฉบับ Original คือเกมที่สร้างความประทับใจไม่รู้ลืมในฐานะภาคต่อของเกมเอาชีวิตรอดที่มาพร้อมกับเนื้อเรื่องที่ซับซ้อนน่าสนใจ เมื่อมันวางจำหน่ายครั้งแรกในปี 1998 หรือเมื่อ 21 ปีก่อน และเมื่อมีการเอากลับมา “ทำใหม่” ผมเชื่อว่าหลายคนคงจะอดสงสัยไม่ได้ถึงเรื่องคุณภาพและเกมเพลย์ว่ามันจะเปลี่ยนไปมากน้อยขนาดไหน? หรือแม้กระทั่ง Capcom เองจะทำอย่างไรให้เกมที่เคยสร้างประวัติศาสตร์เมื่อ 21 ปีที่แล้ว กลับมาสร้างความประทับใจและถูกจดจำได้อีกครั้งภายใต้ข้อจำกัดของเรื่องราวที่คุณและผู้เล่นหลายๆ คนเคยรู้มาก่อนแล้วทั้งหมด?  แม้คำตอบของคำถามเหล่านี้จะมีการเฉลยเอาไว้แล้วแบบอัตโนมัติเมื่อคุณได้ลองเล่นและสัมผัสตัวเกมไปซักระยะ แต่คำตอบที่คุณได้รับกลับสร้างคำถามใหม่ที่ผมเชื่อว่าหลายคนก็คงจะอยากรู้เหมือนกันซึ่งก็คือ…

Leon Resident Evil 2 remake

 

[bs-quote quote=”เมื่อไหร่ Capcom จะหยิบเอาเกมภาค 3 กลับมาทำใหม่แบบนี้บ้าง!?” style=”style-2″ align=”center” color=”#f75238″][/bs-quote]

นั่นเพราะสูตรสำเร็จที่เกมภาคนี้นำมาใช้ มันช่างยอดเยี่ยม ลงตัวไปแทบทุกองค์ประกอบ  ทำให้คุณรู้สึกว่าการกลับมาอีกครั้งของเกมในซีรีส์ RE แบบต้นตำรับช่างคุ้มค่ากับการรอคอยที่แสนยาวนานจริงๆ

เนื้อเรื่องที่เชื่อมโยงกันดั่งจักรวาลคู่ขนาน (?)

Ada Resident Evil 2 remake

จุดเด่นหนึ่งของ Resident Evil 2  ต้นฉบับคือ การพยายามนำเสนอเนื้อเรื่องของทั้ง Leon และ Claire ให้มีความเชื่อมโยงกัน ทั้งส่วนของการกระทำสิ่งต่างๆ ไอเทม ตำแหน่งศัตรูที่เปลี่ยนไป ทุกสิ่งที่ผู้เล่นกระทำในเนื้อเรื่องของตัวเอกคนใดคนหนึ่งจะส่งผลไปยังตัวเอกอีกคนอย่างเลี่ยงไม่ได้ เช่น Leon เก็บขวดยาในตู้ไป เมื่อคุณเล่นเป็น Claire  ขวดยาในตำแหน่งเดียวกันก็จะไม่เหลือให้เก็บอีก เป็นต้น แต่ใน Resident Evil 2 Remake นั้น สิ่งที่เคยเชื่อมโยงกันกลับถูกถอดออกไปอย่างน่าเสียดาย การเดินเรื่องหรือการกระทำระหว่างเนื้อหาฝั่ง A และ B กลับไม่เชื่อมโยงกันเลยแม้แต่น้อย ทำให้การเล่นเนื้อหาทั้ง 2 ฝั่งของตัวละครทั้งคู่ กลายเป็นการมองดูเหตุการณ์ที่เหมือนกำลังเกิดขึ้นพร้อมกันแต่ไม่เกี่ยวกันเลยในจักรวาลคู่ขนาน (ไม่แปลกใจที่นักวิจารณ์จากสื่อใหญ่หลายแห่งติว่าเนื้อหาฝั่ง A และ B มันมีความเหมือนกันมากเกินไป) ตรงนี้ถือเป็นข้อเสียจุดที่ใหญ่ที่สุดของเกมเลยก็ว่าได้โดยเฉพาะหากนำไปเปรียบเทียบกับเกมเวอร์ชั่น Original

อย่างไรก็ตามองค์ประกอบของเนื้อเรื่องในแต่ละฝั่งก็แสดงศักยภาพของตัวเกมได้อย่างดีมาก  คุณภาพของเกมนั้นเรียกว่าจัดมาเต็ม!! ทั้งภาพ แสงสีเสียง และเอฟเฟตต่างๆ ช่วยเนรมิตโลกในเกมทั้งใบขึ้นมาใหม่จนดูร่วมสมัยดั่งจินตนาการของคนเคยเล่นเกมเวอร์ชั่น Original เมื่อ 21 ปีก่อนยังไงยังงั้น

Flamethrower Resident Evil 2 remake

[bs-quote quote=”Raccoon City ในความโกลาหลไม่เคยดูดีและน่าหลงใหลได้มากเท่านี้” style=”style-2″ align=”center” color=”#ff3a3a”][/bs-quote]

น่าจะเป็นความรู้สึกของใครหลายคนรวมทั้งตัวผม หลังจากเล่นผ่านฉากเปิดเกมที่ต้องหนีตายจากฝูงซอมบี้และรถน้ำมันบ้าพลังที่วิ่งมาระเบิดใส่ การเดินเรื่องในภาค Remake นี้ใช้การนำเสนอบนเนื้อหาเดิมบางส่วนและปรับเปลี่ยนหลายอย่างสลับไปมาเพื่อไม่ให้คนเคยเล่นแล้วเดาได้ทั้งหมด รวมทั้งยังเพิ่มเนื้อหาที่ไม่เคยเห็นมาก่อนเข้ามาแบบเนียนๆ เพื่อขยายการเล่าเรื่องโดยไม่ให้รู้สึกแปลกแยก ถือเป็นการออกแบบเกมใหม่บนเรื่องราวเก่าที่ค่อนข้างชาญฉลาดมาก ดีกว่าการยกของเดิมมาหมดแล้วปรับกราฟิกอย่างเดียวเหมือนเกม Remake ทั่วไปมากๆ แม้มันจะมีข้อติเรื่องความไม่ต่อเนื่องกันของเนื้อหาจาก 2 ตัวละครที่คอยรบกวนความรู้สึกไม่สุดอยู่บ้างก็ตามที

ฉากตะลุยในท่อระบายน้ำ, Lab ในฐานใต้ดิน กระทั่งหลายเหตุการณ์ในสถานีตำรวจได้ถูกจับมาขยายให้ยืดยาวขึ้น มีเนื้อหาชัดเจนมากกว่าจะเป็นแค่ทางผ่าน แถมแต่ละเส้นทางยังอุดมไปด้วยมอนสเตอร์ทั้งหน้าเก่าและใหม่ซึ่งคุณอาจคาดไม่ถึง ทั้งหมดถูกจับมาร้อยเรียงเข้ากับเนื้อหาหลัก ให้คุณได้เห็นว่าการเอาชีวิตรอดหรือการไล่ล่าระหว่างตัวละครในเกมต้นฉบับนั้น พอมีรายละเอียดจริงๆ แล้วมันจะออกมาเป็นอย่างไร การบิดผันเหตุการณ์บางอย่างหรือบางฉากนำเสนอออกมาได้ดี ส่งต่ออารมณ์เกมให้ผู้เล่นอยากค้นหารายละเอียดกันต่อไปเรื่อยๆจนจบเกม จุดนี้ต้องให้เครดิตทาง Capcom ไปเต็มๆ ที่นำประสบการณ์จากเกมหลายภาคในซีรีส์มาปรับใช้โดยสร้างเป็นเนื้อหาและเกมเพลย์แบบใหม่ที่แทรกเข้ามาได้อย่างลงตัว (ระบบการเล็ง ความนิ่งของเป้ายิง ระบบ Sub Weapon และอื่นๆ)

Sub-weapon Resident Evil 2 remake

การออกแบบเหตุการณ์และสภาพแวดล้อมที่มืดครึ้มอึมครึมก็ชวนหลอน ให้ความรู้สึกกดดันและไม่ปลอดภัยตลอดเวลา ทั้งยังตอบสนองแบบ Dynamic ต่อผู้เล่นด้วย ทำให้ทุกครั้งที่คุณเล่นหรือวิ่งผ่านไปในเส้นทางเดิมก็มักจะมีอะไรที่ไม่คาดคิดมาทำให้สะดุ้งอยู่เรื่อยๆ โมเมนท์สไตล์ Jump Scare และการใช้ซุ่มเสียงต่างๆ จะเล่นกับจิตใจของคุณตลอดเวลา ให้ความรู้สึกสมจริงจนอินไปตามสถานการณ์ในเกมตลอดการเล่น (อย่างน้อยก็จนกว่าคุณจะชินกับเกมและเลิกสะดุ้งนั่นล่ะ) สิ่งนี้เป็นอารมณ์เกมที่ภาค Original นั้นเคยพยายามนำเสนอซึ่งก็เคยทำได้ดี แต่การกลับมาครั้งนี้ความหลอนและอารมณ์เกมทำได้ในระดับที่ยอดเยี่ยมกว่ามาก

Resident Evil 2 Remake เหมาะกับผู้เล่นทุกระดับ

ตัวเกมแบ่งความยากออกเป็น 3 ระดับ หรือพูดให้เข้าใจได้ง่ายๆ ก็คือ ง่าย กลางและยาก โหมดง่ายสุดทำมาเอาใจนักเล่นมือใหม่ที่เน้นเสพเรื่องราว ในขณะที่โหมดยากสุดก็จัดเต็มมาเพื่อท้าทายทักษะเอาการตัวรอดที่เหนือมนุษย์ ไม่ว่าคุณจะเป็นผู้เล่นเก่าหรือใหม่ ส่วนที่สมดุลที่สุดคือความยากระดับกลางซึ่งเหมาะกับทุกคนที่ต้องการทำความคุ้นชินหรือเก็บเกี่ยวรายละเอียดของเรื่องราวโดยที่ไม่รู้สึกง่ายหรือยากจนเกินไป

Zombie Resident Evil 2 remake

อย่างไรก็ดี Capcom เองก็ได้ใส่การปรับระดับความยากแบบ Dynamic เข้ามาในเกมด้วย (Adaptive Difficulty) ยิ่งคุณเอาตัวรอดจากความโหดร้ายของศัตรูได้มาก จัดการศัตรูไปได้เยอะ เจออะไรยิงดะฆ่าเรียบ เกมก็จะแอบปรับระดับความยากขึ้นทีละนิดเพื่อให้คุณรู้สึกว่าการเล่นเกมนี้ไม่ได้มีอะไรง่ายอย่างที่คิดไปทั้งหมด ทั้งจำนวนศัตรูที่อาจเกิดเพิ่มขึ้น ความอึกถึกทนที่รับกระสุนเพิ่มได้เป็นแม็ก กระทั่งอัตราการยิงแบบ Critical (ยิงหัวระเบิดนัดเดียว) ที่ค่อยๆหายไป ระบบเกมภาคนี้โดยรวมแล้วจึงเหมาะมากกับผู้เล่นทุกประเภท ไม่ว่าคุณจะตายบ่อยจนกลายเป็นง่อยหมดอารมณ์เล่น หรือบุกตะลุยฝ่าเหล่าศัตรูได้อย่างสบายๆ เกมก็จะปรับระดับความยากให้สมน้ำสมเนื้อเหมาะกับตัวคุณด้วยครับ

ซุ่มเสียงที่มีชีวิตชีวากับปัญหาทางเทคนิค

เสียงเอฟเฟคและดนตรีประกอบฉบับเกมสร้างใหม่ทำออกมาได้ค่อนข้างดี แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเสียงประกอบแบบเดิมและ BGM แบบเดิมๆ นั้นยังคงความขลังไว้ได้มากกว่า (ซึ่งถ้าคุณต้องการ BGM หรือเสียงประกอบแบบต้นฉบับ Capcom เองก็มีขายแยกเอาไว้เป็น DLC ด้วยอีกต่างหาก) ส่วนของ Voice Acting ในเกมภาคนี้ต้องยอมรับว่าทำออกมาได้ดีมากโดยเฉพาะถ้าเอาเปรียบเทียบกับภาคต้นฉบับที่การใส่เสียงตัวละครนั้นไร้อารมณ์จนกลายเป็นตลกร้าย ภาคนี้ก็ถือว่าสามารถสื่อสารอารมณ์ได้ดีและลงตัวในแทบจะทุกสถานการณ์

Clair Resident Evil 2 remake

แต่สำหรับเรื่องบท ยังมีบางช่วงบางตอนที่คุณอาจจะรู้สึกไม่ค่อยสมเหตุผลนัก คุณอาจจะรู้สึกว่าการเขียนบทในเกมนี้อ่อนเกินไป อาทิ ฉากที่ Leon มาเจอกับ Claire ที่สถานีครั้งแรก บทพูดทั้งคู่ดูจะเวิ่นเว้อมากไปนิดราวกับการเดินเล่นในสวนของคนที่รู้จักกันมานานภายใต้บรรยากาศรอบข้างที่สุดชิล หรือกระทั่งบทพูดของ Ada ที่ดูแล้วจงจะใจไม่ตอบเรื่องราวแบบตรงไปตรงมา อาศัยการบ่ายเบี่ยงประเด็น แต่ Leon เราก็เชื่อง่ายๆตามไปด้วย มันเลยดูจะตลกหรือทำให้รู้สึกเวิ่นเว้อในบางครั้งเพราะคุณรู้เบื้องหลังของเรื่องราวมาก่อนแล้ว  กระนั้นถ้าคุณมองข้ามเรื่องบทที่อ่อนไปได้และคิดว่ามันก็เป็นงานดีไซต์ตามสไตล์เกมที่มีต้นกำเนิดมาจากฝั่งญี่ปุ่น เรื่องซุ่มเสียงกับอารมณ์เกมก็แทบจะไม่มีอะไรให้ติมากไปกว่านี้อีกแล้วครับ

แม้ว่าตัวเกมจะมีความยอดเยี่ยมมากในทุกมิติ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าการ Remake กลับมาครั้งนี้ก็มีบัคตามติดมาด้วยเช่นกัน โดยเฉพาะเกมในเวอร์ชั่น PC ที่ผมใช้เล่นและเขียนบทวิจารณ์นี้ เริ่มกันที่ปัญหาเรื่องของ Brightness เวลาแสดงผล ซึ่งภาพที่ได้จะมีอาการมืดมาก มืดจนมองอะไรไม่เห็นเลยในเกมแม้จะปรับระดับความสว่างแค่ไหน หลายคนเจอปัญหานี้หากเลือกการแสดงผลเป็น DirectX 12 ซึ่งวิธีการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าก็คือการสลับไปใช้ DirectX11 แทนชั่วคราว แต่ก็ยังมีรายงานจากผู้เล่นหลายคนว่าการสลับไปมาก็ไม่ช่วยแก้ปัญหาเลยในบางราย และอาการนี้บางครั้งยังส่งผลมาจากการเลือกปิดเปิด V-sync รวมถึงการจำกัดเฟรมเรทแบบผันแปรหรือที่ 60fps อีกด้วย ส่วนบัคอีกอย่างที่ค่อนข้างกระทบต่อการเล่นก็คงจะเป็นเรื่องการควบคุมด้วยการใช้เมาท์และคีย์บอร์ดที่บางครั้งหลังเดินผ่านประตูหรือเรียก Steam Overlay ขึ้นมาแล้วปิดไป ตัวละครจะเกิดอาการติด ขยับไม่ได้ และปุ่มคีย์บอร์ดทั้งหมดก็จะหลุดการทำงานไปดื้อๆ ทันที วิธีแก้ก็ทำได้อย่างเดียวเลยคือ ปิดเปิดเกมใหม่ นอกนั้นก็เป็นเรื่องของบัคจุกจิกอย่างการแสดงผลที่ซ้อนของเคอร์เซอร์หากคุณเล่นโดยใช้เมาท์ (ตัวเกมไม่มีปัญหาเรื่อง Performance ใดๆ เล่นได้ลื่นไหลมากแม้จะเปิดทุกอย่างสุด)

คุ้มค่าแก่การรอคอย

True Ending Resident Evil 2 remake

อาจจะพูดได้ว่า Resident Evil 2 Remake คือผลงานระดับมาสเตอร์พีชที่ถูกสร้างสรรค์ขึ้นบนชิ้นงานระดับสุดยอดเมื่อ 21 ปีก่อน แม้มันจะเป็นเกมเดียวกันแต่ทุกวินาทีที่ได้สัมผัสผมกลับไม่รู้สึกเลยว่ามันคือ “เกมเดียวกัน” ทุกอย่างดูสดใหม่ตั้งแต่เนื้อหา สภาพแวดล้อมหรือกระทั่งอารมณ์เกมที่กดดันตลอดการเล่นอย่างที่ไม่เคยมี สร้างความรู้สึกชวนติดตามตลอดเวลาแม้ว่าคุณจะรู้เรื่องราวของมันมาก่อนแล้วก็ตาม นับเป็นหนึ่งในเกมซีรีส์ Resident Evil ที่ดีที่สุดของยุคนี้ ไม่ว่าคุณจะเป็นผู้เล่นหน้าใหม่มือใสสะอาดหรือมือเก่าที่เคยเก๋าเกมชนิดที่สามารถเอาตัวรอดมาได้แล้วจากทุกสิ่งซึ่งเคยโยนเข้าใส่คุณมาตั้งแต่เกมต้นฉบับ “Resident Evil 2 Remake” คือ เกมที่คุณต้องลองเล่นให้ได้ซักครั้งหนึ่งในชีวิต ถ้าคุณเรียกตัวเองว่าเกมเมอร์

บทความที่เกี่ยวข้อง
Resident Evil 2 Remake – วิธีปลดล็อกปืนพร้อมกระสุนไม่จำกัดและโหมดการเล่นพิเศษ

ที่มา
Thai Gamers’ Curators

รีวิว Black Doves พิราบเงา (Netflix) ซีรีส์สายลับที่ตัวละครมีเสน่ห์ซับซ้อนคมคายสุดๆ