playinone.com
รีวิว บทความ หนัง ซีรีส์ Netflix สตรีมมิ่งทุกระบบ

รีวิว The Last Thing He Wanted – หนังรวมดาราที่ไร้ทิศทางแน่ชัด

The Last Thing He Wanted

สรุป

รีวิว The Last Thing He Wanted หนังเขย่าขวัญการเมืองรวมดารา ที่น่าผิดหวัง แม้จะจับเอาสถานการณ์ยุค 80s อย่างกรณีอิหร่าน-คอนทรามานำเสนอ แต่กลับดำเนินเรื่องได้ขาดความน่าติดตาม

Overall
4.5/10
4.5/10
Sending
User Review
3.5 (4 votes)
Comments Rating 0 (0 reviews)

Pros

  • หนังเขย่าขวัญการเมืองที่รวมดาวนักแสดงจากฮอลลีวู้ดเต็มเรื่อง
  • ผลงานใหม่จากผู้กำกับ Mudbound ผู้กำกับหญิงผิวสีที่น่าจับตา
  • นำเสนอกรณีอิหร่าน-คอนทราอย่างมีรายละเอียดสะท้อนชีวิตคนในยุคดังกล่าว

Cons

  • บุคลิก แอนน์ แฮทธาเวย์ ไม่เหมาะกับบทนักข่าวการเมืองได้น่าเชื่อถือพอ
  • หนังเต็มไปด้วยสถานการณ์ที่เยอะแต่ไม่จำเป็นกับเรื่อง
  • ฉากไล่ล่าเดินเรื่องเร็ว แต่กลับไม่สามารถสร้างอารมณ์ลุ้นระทึกใดๆ ได้

(หนังมีฉากรุนแรงจากสงครามและการฆาตกรรม และฉากเปลือย ไม่เหมาะกับผู้ชมอายุต่ำกว่า 18 ปี)

บ่อยครั้งหนังที่สร้างจากการรวมกันของทีมงานและนักแสดงมีชื่อ อาจไม่ได้ผลลัพธ์ที่ดีอย่างที่ควรคาดหวัง และอาจกลายเป็นหายนะย่อมๆ ซึ่ง The Last Thing He Wanted งานแนวเขย่าขวัญการเมืองก็เป็นในลักษณะนั้น มันเป็นหนังที่เห็นได้ชัดว่าผู้สร้างตั้งใจนำเสนอเนื้อหาที่เข้มข้น แต่ไม่ใช่ส่วนผสมที่เข้ากันได้กับคนควบคุมหลักอย่างผู้กำกับ

 The Last Thing He Wanted (2020) on IMDb
คะแนนเฉลี่ย IMDB

ตัวอย่างภาพยนตร์ The Last Thing He Wanted  คำสั่งตาย (Netflix)

หนังเป็นผลงานการกำกับของ ดี รีส์ ผู้กำกับที่สร้างชื่อจากหนังเล็กๆ เกี่ยวกับคนผิวสีอย่าง Pariah (2011),และ Mudbound (2016) โดยเฉพาะเรื่องหลังซึ่งว่าด้วยปัญหาการเหยียดผิวหลังสงครามโลกครั้งที่สอง ที่เป็นหนังที่ผลิตโดย Netflix เช่นเดียวกับหนังเรื่องนี้ ได้รับคำชมตลอดในปีนั้น และทำให้ได้เข้าชิงรางวัลออสการ์ถึง 4 สาขารางวัล ตั้งแต่นักแสดงสมทบหญิง, สาขาบทภาพยนตร์ดัดแปลง, ผู้กำกับภาพและ ดนตรีประกอบ ส่งผลให้ผู้กำกับอเมริกันผิวสีอย่างเธอได้รับการจับตาในผลงานต่อไปอย่างมาก

ตัวหนังเองยังได้นักแสดงมากฝีมืออย่าง แอนน์ แฮททาเวย์ (Brokeback Mountain และ Les Miserables) มาแสดงนำ สมทบด้วยนักแสดงมีชื่อที่ล้วนอยากมาร่วมงานกับเธอ ไม่ว่าจะเป็น เบน แอฟเฟล็ค (Argo), โรซี่ เปเรซ (Fearless), และวิลเลม เดโฟ (The Lighthouse) จากผลงานที่ดัดแปลงจากนิยายชื่อดังปี 1996 ในชื่อเดียวกันของ โจน ดิดิออน ซึ่งเป็นการนำประสบการณ์ของเธอในการทำงานติดตามข่าวในประเทศนิคารากัวนั่นเอง

 The Last Thing He Wanted
The Last Thing He Wanted

หนังจับเหตุการณ์ในช่วงปี ค.ศ.1984 ขณะที่การหาเสียงเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกามาถึงโค้งสุดท้าย และโรนัลด์ เรแกน ยังได้ความนิยม เอเลน่า (แอนน์ แฮททาเวย์) เป็นนักข่าวจากแอทแลนติค โพสต์ ที่ได้รับมอบหมายให้ติดตามข่าวการเลือกตั้ง แต่การที่เธอและเพื่อนนักข่าวอย่างไอม่า (โรซี่ เปเรซ) เคยทำงานติดตามความขัดแย้งในนิคารากัวมาก่อน จึงทำให้มองเห็นปัญหาที่ยังไม่ถูกตีแผ่อย่างจริงจังจากรัฐบาลของเรแกน จากสายตาของนักข่าวหญิงที่มองเห็นชาวบ้านผู้บริสุทธิ์ล้มตาย คนเกิดความขัดแย้งโดยมีสหรัฐฯ เป็นผู้มีส่วนสร้าง และหยิบยื่นอาวุธให้เกิดสงครามในประเทศแห่งนั้น แต่ต่อมาหนังสือพิมพ์ก็ถูกคนของรัฐบาลบีบให้เลิกตามข่าวดังกล่าวอยางเจ็บปวด

ขณะเอเลน่าทำข่าวดังกล่าวพร้อมๆ กับพยายามขุดคุ้ยปัญหาของรัฐบาล เราก็ได้เห็นชีวิตอีกด้านที่ย่ำแย่ของเธอไปพร้อมๆ กัน ไมว่าจะเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยวเลิกกับสามี ทิ้งลูกให้เรียนโรงเรียนประจำ แม้เวลาทำงานในที่ห่างไกลก็ต้องโทรศัพท์ติดต่อกันทุกครั้ง ผ่านการเป็นมะเร็งเต้านม ชีวิตที่อาจข่มขู่จากเจ้าหน้าที่รัฐทุกเมื่อ

ที่สำคัญคือต้องดูแล พ่อที่ป่วยหนัก (วิลเลม เดโฟ) พ่อที่แทบไม่ได้รู้จักอะไรในตัวเธอ เพราะทิ้งแม่และเธอไปตั้งแต่ยังเด็ก แต่เยื่อใยบางอย่างในอดีตทำให้เธอจำเป็นต้องช่วยเหลือในวันที่เขาก่อนจะจากไป

หากเพราะคำขอสุดท้ายของพ่อให้ช่วยทำงานที่ค้างเอาไว้ ทำให้เอเลน่าถึงทราบว่าธุรกิจมืดที่เขาเคยอวดโอ่ในอดีต แท้จริงคือตัวแทนการค้าอาวุธไปยังแถบอเมริกากลาง งานที่เธอเกลียด และพยายามเปิดโปงรัฐบาลสหรัฐฯ และภารกิจดังกล่าวนั้นเองที่ทำให้จากนักข่าวเจาะฝีมือดีต้องจับพลัดจับผลูหนีการตามล่าในเอลซัลวาดอร์ และประเทศในแถบนั้น

ชื่อของหนังเป็นเหมือนการเปรียบเปรย “สิ่งสุดท้ายที่เขาขอ” นอกจากเป็นสิ่งที่ตัวเอกยอมทำตามเพื่อพ่อ “พ่อ” ในที่นี้ก็เหมือนภาพเปรียบของประเทศสหรัฐอเมริกาที่กระทำต่อประชาชนในอเมริกากลางซึ่งเปรียบเสมือนลูก หรือประเทศที่ตนกุมอำนาจอยู่ ขณะเดียวกันก็เปรียบสถานการณ์ที่รัฐกระทำกับเธอซึ่งเป็นประชาชนของอเมริกา แต่ก็ไม่ได้รับการเหลียวแล เมื่อถูกเปิดโปงก็กลายเป็นศัตรูที่ต้องถูกกำจัด

น่าเสียดายองค์ประกอบที่กล่าวมาหากนำเสนออย่างไม่มีประสิทธิภาพ ผิดที่ผิดทาง เห็นได้ชัดว่า ดี รีส์ ไม่ถนัดในงานเขย่าขวัญ เธอเลือกนำเสนอรายละเอียดชีวิตนักข่าวของเอเลน่าไปเกือบครึ่งเรื่อง ขณะที่ช่วงไล่ล่าก็เต็มไปด้วยเหตุการณ์ตึงเครียด แต่ปราศจากบรรยากาศกดดันเพียงพอ หลายสิ่งที่เข้ามากลับดูไม่น่าเชื่อถือ บางเชื่อก็ผ่อนเรื่องราวจนไม่อาจตรึงคนดูให้รู้สึกร่วมลุ้นไปกับตัวละครได้เลย เราได้แค่เห็นแต่เอเลน่าหนีจากจุดหนึ่งไปยังอีกจุดหนึ่ง จากโรงแรมหนึ่งไปสู่อีกโรงแรมหนึ่งเกือบเอาชีวิตไม่รอดด้วยเจตนาที่ถือวิกฤตดังกล่าว เก็บข้อมูลข่าวที่สามารถเปิดโปงกรณีอิหร่าน-คอนทราของรัฐบาลเรแกนได้ ก่อนจะมีบทสรุปแบบที่เรามักพบได้ในหนังการเมืองยุค 70-80s ที่ไม่ได้ยากเกินคาดเดาอะไร (และกว่าจะถึงจุดที่คาดเดานั้น หนังก็ปล่อยเวลาผ่านไปจนคนไม่ได้อยากจะลุ้นเอาใจช่วยตัวละครเสียแล้ว)

เป็นไปได้อย่างยิ่งว่ามันไม่ใช่งานที่เหมาะกับเธอซึ่งดูจะมุ่งถ่ายทอดชีวิตคนผิวสีมาตลอดมากกว่า เพราะเห็นได้ว่าหนังเองบ่อยครั้งนำเสนอเรื่องทางการเมืองและชีวิตตัวเองอยู่มาก แต่กลับไม่ได้ส่งเสริมเนื้อหาในบทสรุปเอาเสียเลย

อย่างไรก็ตามด้วยเรื่องราวชีวิตนักข่าวทำให้เห็นรายละเอียดกรณีอิหร่าน-คอนทรา และปัญหาจากรัฐบาลเรแกนในงานชิ้นนี้อยู่มาก ทั้งการค้าอาวุธสนับสนุนกลุ่มคอนทราซึ่งเป็นกลุ่มกองโจรต่อต้านคอมมิวนิสต์ในนิคารากัว ความพยายามสร้างโฆษณาชวนเชื่อ และปิดบังการให้ข้อมูลแก่นักข่าวในยุคนั้น

ขณะเดียวกันชีวิตของ เอเลน่า ก็เป็นภาพสะท้อนของชีวิตแบบคนอเมริกันรุ่นเบบี้บูม-เจเนอเรชั่นเอ๊กซ์ ที่มุ่งมั่นทำแต่งานจนไม่มีเวลาให้กับเรื่องส่วนตัว ดังที่เธอเผยความรู้สึกว่าเหตุผลที่ยังคงตามสถานการณ์ข่าวในสภาวะหนีตาย ถูกเอาผิดข้อหาค้าอาวุธนั้น เพราะชีวิตเธอไม่เหลือคุณค่าอะไรอีกแล้วนอกจากงานที่ทำ

ปัญหาอีกอย่างหนึ่งที่เห็นชัดคือ แอนน์ แฮทธาเวย์ที่มารับบทนำ แม้ในเรื่องเธอจะลงทุนไม่แต่งหน้า เผยให้เห็นกระ และริ้วรอย สภาพการหนีตายทำให้เนื้อตัว ใบหน้าเลอะดินโคลนจนดูโทรมลง หรือการเปลือยท่อนบนเผยให้เห็นแผลผ่าตัดเต้านม สะท้อนภาพริ้วรอยของชีวิตที่ผ่านความเจ็บปวด แต่ก็เหมือนเป็นการคัดนักแสดงที่ไม่เหมาะกับบท เธอยังดูสาว สวย และยังทำให้เราเชื่อไม่ได้ว่าจะสามารถต่อกร และหนีรอดในสถานการณ์คับขันขนาดนั้นมาได้ตลอดดังแบบนั้น

หนังอาจไม่ควรถึงกับถูกล้อเลียนตามชื่อหนังว่าเป็น “สิ่งสุดท้ายที่เราควรดู” แต่ก็นับเป็นงานที่น่าผิดหวังทีเดียวเมื่อดูจากทีมงานไม่ว่าจะเป็นตัวนิยาย ผู้กำกับ หรือนักแสดงที่มาร่วมงาน

Leave a comment
The Devil’s Hour ช่วงเวลาปีศาจ ตี 3.33 นาที ที่เต็มไปด้วยเรื่องเซอร์ไพรส์เกินคาด!