รีวิว Bridgerton (Netflix) วังวนรักเกมไฮโซ ซีรีส์โรมานซ์ เซตติ้งเป็นอังกฤษย้อนยุคแนวสมมติ
Bridgerton
สรุป
ซีรีส์ดัดแปลงจากนิยายขายดี สไตล์รักดราม่าน้ำเน่า บทคล้ายละครไทยเอามากๆ เคมีตัวละครพระนางเข้ากันดีแบบไม่น่าเชื่อ หลายคนอาจขัดใจกับการเอาคนผิวสีมาเป็นไฮไซในโลกสมมติที่เซตติ้งเป็นสไตล์วิคตอเรียน แต่พอดูเรื่อยๆก็จะรู้สึกชินไปเอง พระเอกนางเอกงานดีมากๆ
Overall
7.5/10User Review
( votes)Pros
- โปรดักชั่น ฉาก เสื้อผ้า คอสตูม อลังการ งานทุนสูง
- เนรมิตสังคมไฮโซแบบยุควิคตอเรียนได้สมจริงมาก ทั้งที่ในเรื่องเป็นโลกสมมติ
- นักแสดงเล่นดีหลายคน เขียนบทดี เคมีพระนางดูเข้ากันดีมากขึ้นในระหว่างเรื่อง
- คนผิวสีมาเป็นไฮโซในเรื่องอาจจะดูแปลกๆ ขัดๆช่วงแรก แต่พอดูไปเรื่อยๆด้วยออร่าของนักแสดงผิวสีเองกลับดูเนียนมากขึ้น
- ฉากเลิฟซีน 18+ ของเรื่องเรียกอารมณ์ดี ดูหวานซึ้งมากกว่าจะลามก
Cons
- หลายคนอาจไม่ชอบและขัดใจที่เอานักแสดงผิวสีมาเป็นไฮโซในสไตล์วิคตอเรียน เหมือนจงใจยัดเยียดบทให้นักแสดงผิวสีมากเกินไป
- ตรรกะความคิดของคนในเรื่องเป็นแบบไฮโซสไตล์วิคตอเรียน ช่วงแรกจะดูแปลกๆไปหน่อย
- เป็นแนวรักดราม่าน้ำเน่ากึ่งคอเมดี้เล็กๆที่พลอตเรื่องแทบไม่ได้แตกต่างจากละครไทย
Bridgerton Netflix รีวิว ซีรีส์ฝรั่ง วังวนรักเกมไฮโซ ดัดแปลงจากนิยายขายดีของ Julia Quinn ผลงานการสร้างโดย Chris Van Dusen จากและสร้างโดยนักเขียนบทผิวสีชื่อดังอย่าง Shondaland ที่สร้างผลงานโด่งดังไว้หลายเรื่อง
สำหรับเรื่องนี้ เป็นซีรีส์แนวรักโรแมนติก ดราม่า กึ่งคอเมดี้ สไตล์วัยรุ่น ที่สร้างโดยใช้เซตติ้งฉากหลังเป็นอังกฤษ หรือในลอนดอน สมัยต้นศตวรรษที่ 18 แต่เรื่องนี้สร้างเป็นโลกสมมติที่วัฒนธรรมแบบผสมผสานที่คนผิวสีก็สามารถเป็นชนชั้นนำในสังคมได้ด้วย
สำหรับใน Netflix ฉายซีซันแรกทั้งหมด 8 ตอนจบแล้ว สามารถรับชมได้เลยครับ ซึ่งเรื่องนี้เป็นแนว 18+ มีฉากเลิฟซีนที่เปิดเผยพอสมควร
Bridgerton Netflix Trailer ตัวอย่าง
Bridgerton Netflix เรื่องย่อ
เรื่องราวเริ่มขึ้นจากการบอกเล่าผ่านหนังสือพิมพ์แจกที่เขียนโดย เลดี้ วิสเซิลดาวน์ เกี่ยวกับการเปิดตัวในสังคมต่อหน้าองค์ราชินี ของสาวๆจากสองตระกูลไฮโซชื่อดัง คือ บริดเจอร์ตัน และ ฟีเธอร์ริงตัน ซึ่งเป็นเพื่อนบ้านที่อยู่ใกล้เคียงกัน โดยไฮไลต์ของการเปิดตัวคือ สาวน้อย ดาฟนี่ บริดเจอตัน ที่ทั้งสวยและสง่างามจนได้รับการยกย่องว่าเป็นเพชรน้ำเอกของปี
การเปิดตัวของดาฟนี่ ยังมีเป้าหมายเดียวกับหญิงสาวในสังคมไฮโซทั้งหลาย นั่นคือเพื่อเชิญชวนให้สุภาพบุรุษหนุ่มทั้งหลายจากชนชั้นสูงได้เข้ามาหาเพื่อสู่ขอ เรียกง่ายๆว่าเป็นการเปิดตัวเพื่อหาสามีในอนาคตนั่นเอง ซึ่งดาฟนี่ที่เป็นลูกสาวคนโตของบ้าน จึงต้องแบกรับความคาดหวังที่จะได้สามีที่ดีและมีเกียรติ ซึ่งจะเป็นการกรุยทางให้น้องสาวที่เหลือด้วย
แต่แล้วความโดดเด่นของ ดาฟนี่ กลับสลายไป เมื่อการเข้าหาของบรรดาหนุ่มๆกลับถูกกันจากพี่ชายคนโตของเธอคือ แอนโทนี่ อีกทั้งการมาของสาวผิวสี มาริน่า ธอมสัน ที่ญาติของคอรบครัวฟีเธอริงตันส่งตัวมาอยู่ด้วย กลับไปดึงความสนใจจากหนุ่มๆชนชั้นสูงไป ทำให้หนุ่มที่เข้ามาจะสู่ขอดาฟนี่ เหลือเพียงแค่คนเดียว แต่ก็เป็นตัวเลือกที่ดาฟนี่ไม่ต้องการด้วย
ในขณะเดียวกัน ท่านลอร์ดหนุ่มผิวสีแห่งตระกูลเฮสติ้ง ที่เพิ่งกลับมาเพื่อรับตำแหน่งคือ ไซม่อน ก็กลายเป็นลอร์ดหนุ่มที่สาวๆหมายปอง เขายังเป็นเพื่อนสนิทของโคลิน พี่ชายของดาฟนี่ด้วย จึงช่วยชักนำให้ทั้งสองคนได้เจอกันในงานสังคม แล้วก็นำไปสู่แผนการแก้ไขปัญหาของทั้งคู่ เมื่อดาฟนี่ที่ต้องการกู้ภาพลักษณ์ของเธอกลับมาเพื่อโอกาสในการหาสามีที่ดี และไซม่อนที่ไม่ได้ต้องการแต่งงานและอยากจะหลีกหนีจากการเข้าหาของสาวคนอื่น ทั้งสองจึงได้ทำข้อตกลงอย่างลับๆ แสร้งทำทีเป็นคู่เดทปลอมๆ เพื่อเป้าหมายของทั้งสอง แต่การเป็นคู่เดทปลอมๆก็เริ่มจะมีปัญหา เมื่อทั้งสองเริ่มมีใจหวั่นไหวให้กันจริงๆซะอย่างนั้น
Bridgerton Netflix รีวิว (ไม่สปอย)
สาวๆคนไหนที่ใครกำลังหาดูเรื่องแนว เลิฟดราม่าคอเมดี้ ที่พลอตเรื่องยังกับละครน้ำเน่าไทย (หรือแถมโชโจมังงะให้ด้วย เอ้า!!!) แนะนำให้ดูเรื่องนี้เลยครับ เพราะสิ่งที่จะได้รับไปคือความฟินกับ ฉาก สังคมไฮโซหรูหราสุดอลังการในเรื่อง และเคมีโรแมนติกในแบบรักวัยรุ่นของคู่พระนางที่เข้ากันแบบไม่น่าเชื่อ ส่วนความสมเหตุผลหรือตรรกะในเรื่อง ก็ให้เตะออกไปก่อนเลยครับ
สำหรับฉากหลังในเรื่อง ใช้การเซตติ้งให้เป็นสไตล์อังกฤษยุควิคตอเรียน แต่นี่ไม่ใช่ยุควิคตอเรียนจริงๆครับ เพราะนี่คือ “โลกสมมติ” ที่บังเอิญมีฉากหลังเป็นแบบนั้น ซึ่งวัฒนธรรมในเรื่องก็จะเป็นแบบที่สมมติว่า ถ้าหากคนผิวสีสามารถเป็นชนชั้นสูงได้จะเป็นยังไง ซึ่งเรื่องนี้ก็จัดเต็มมาเลย ด้วยการมอบบทของชนชั้นสูงเจ้าเสน่ห์ให้กับตัวละครผิวสี
โดยเฉพาะบทของ ไซม่อน เฮสติ้ง ที่ได้นักแสดงผิวสีหนุ่ม Regé-Jean Page มารับบทนี้ ซึ่งต้องชื่นชมเลยว่า เล่นดีมากๆ คือเล่นได้น่าเชื่อว่านี่เป็นลอร์ดหนุ่มเปี่ยมเสน่ห์จริงๆ แถมเหมือนจงใจ คือในเรื่องจะมีฉากโชว์กล้ามเนื้อท่อนบนของพี่แกบ่อยมากในฉากชกมวย เหมือนเอาส่วนนี้มาช่วยเรียกคนดูสาวๆเพิ่มเติมด้วย
ส่วนนางเอกของเรื่องคือ ดาฟนี่ บริดเจอตัน ที่ได้นักแสดงสาว Phoebe Dynevor มารับบทบาทนี้ ก็ดูเปล่งปลั่งอามากๆ โดยเฉพาะผิวพรรณขาวผ่องของเธอ และฉากเลิฟซีน เข้าเนื้อเข้าหนังของนางเอกกับพระเอกในแบบ 18+ ที่เปิดเผยเนื้อตัวและหน้าอกกันสุดๆ ซึ่งต้องยอมรับว่าการแสดงฉากเลิฟซีนหรือพลอตรักของนางเอกนี่มีหลายฉากที่ชวนให้ยั่วยวนเอามากๆ ดูหวานซึ้งมากกว่าจะเป็นความลามก เรียกว่าผู้หญิงสาวๆชอบแน่นอน แม้แต่ผู้ชายเองก็น่าจะหลงเสน่ห์ในการแสดงฉากรักของนางเอกด้วย แล้วยังมีในส่วนของคอสตูมหรือการแต่งตัวของนางเอกที่เรียกว่าแต่ละชุดเธอแต่งได้ขึ้นเอามากๆเช่นกัน
อันที่จริงหากเรื่องนี้ยกเอาเซตติ้งแบบโลกสมัยวิคตอเรียนออกไป แล้วใช้ฉากหลังเป็นสังคมไฮโซยุคปัจจุบันแทน ก็สามารถทำได้เลย เพราะมันคือการเอาเซตติ้งตัวละครในโลกปัจจุบันมาใส่ในฉากหลังกับสังคมยุคก่อนเท่านั้น แต่แนวคิดและวัฒนธรรมต่างๆไม่ได้เป็นแบบย้อนยุค แต่ก็อิงกับสังคมไฮโซของโลกที่สมมติขึ้นมาอยู่ ซึ่งอาจจะดูแปลกๆไปบ้าง
จุดเด่นอีกอย่างของเรื่องนี้ก็คือ เทคนิคการเล่าเรื่อง ที่จะมีตัวละคร “เลดี้วิสเซิลดาวน์” มารับหน้าที่เป็นคนเขียนหนังสือที่บอกเล่าสถานการณ์ของเรื่องบนหนังสือพิมพ์แจกฟรี ซึ่งตัวละครนี้ถูกเซตตมาเป็นเสมือนพระเจ้า หรือ ตัวแทนคนดูในเรื่อง (หรือตัวแทนของผู้สร้าง) แต่ที่ไม่ธรรมดาคือ บทมีการเอาการเขียนเรื่องราวซุบซิบของเลดี้วิสเซิลดาวน์มาส่งผลกระทบต่อการกระทำของตัวละครในเรื่องด้วย หรือถ้าจะบอกว่าเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้พระ-นางของเรื่องมาเริ่มเป็นคู่เดทหลอกๆ เลยก็ว่าได้
ส่วนจุดด้อยของเรื่องนี้ก็มีไม่น้อย โดยเฉพาะในแง่ของการยำวัฒนธรรมแบบใหม่ที่ใช้คนผิวสีมาอยู่ในสังคมไฮโซแบบยุคเก่าที่ก็เป็นอะไรที่ชวนให้ดูขัดตาอยู่บ้างในช่วงแรก แม้ว่าดูๆไปแล้วจะเริ่มชินก็ตาม ซึ่งผู้ชมคงต้องใช้เวลาพอสมควร แต่ถ้าชินแล้วก็อาจจะเพลิดเพลินไปกับสังคมและวัฒนธรรมแบบผสมผสานของเรื่องนี้ และน่าจะกลายเป็นทิศทางใหม่ที่น่าสนใจมากครับ สำหรับการทำซีรีส์หรือละครแนวย้อนยุค แต่ทำการเซตติ้งให้เป็นแบบพหุวัฒนธรรมที่ทำให้อะไรก็สามารถเป็นได้ได้
แล้วยังมีจุดด้อยอีกเรื่องคือ จังหวะการเล่าเรื่องที่ใช้วิธีการเล่าในแบบสลับไปมาระหว่างตัวละครที่ยังทำไม่ค่อยเนียนเท่าไหร่ รวมถึงการพยายามยัดเยียดบทของคนผิวสีในเรื่อง จากบทของ มาริสา ธอมสัน ที่ในเรื่องบอกว่าเป็นสาวสวยที่เข้ามาขโมยซีนนางเอกอย่างดาฟนี่ไป ก็ดูแล้วขัดๆชอบกล
ตัวเรื่องยังมีการมอบความฝันต่อบรรดาสาวๆในโลกความจริงที่แม้ว่ารูปลักษณ์ภายนอกไม่ได้ดูดีเลิศงามพร้อม แต่เนื้อแท้แล้วเป็นคนจิตใจดี ห่วงใยและช่วยเหลือคนอื่น ก็มีโอกาสสมหวังในชีวิตในทางใดทางหนึ่งได้นอกเหนือจากเรื่องความรักชายหญิงหรือการแต่งงาน
หรือแม้แต่หญิงสาวที่มีความเป็นตัวของตัวเอง ไม่ได้มีความคิดยึดติดว่าจะต้องแต่งงาน และยังมีพรสวรรค์ทางอื่นที่อาจจะไม่ได้รับโอกาสด้วย ก็มีโอกาสในเส้นทางอื่นๆ นอกจากต้องหาสามีแต่งงานได้เหมือนกัน ซึ่งก็ทำให้เรื่องนี้ไม่ได้เอาแต่เป็นเรื่องแนวรักชายหญิงในสังคมไฮโซหรือเป็นแนวขายฝันจนเกินไป เพราะตัวเรื่องก็มีการวิพากษ์สังคมตะวันตกและชูความเป็นเฟมินิสต์ไว้ตลอดเรื่องเช่นกัน
สปอย ตัวจริงของเลดี้วิสเซิลดาวน์
ท้ายเรื่อง มีการเผยว่า ตัวจริงของเลดี้วิสเซิลดาวน์ คือ เฟเนโลเป้ สาวอ้วนของเรื่อง แต่ก็อาจจะมีการสับขาหลอกในซีซันต่อไปก็ได้
สรุปภาพรวม นี่เป็นซีรีส์ดัดแปลงจากนิยายขายดี สไตล์รักดราม่าน้ำเน่า บทคล้ายละครไทยเอามากๆ เคมีตัวละครพระนางเข้ากันดีแบบไม่น่าเชื่อ หลายคนอาจขัดใจกับการเอาคนผิวสีมาเป็นไฮไซในโลกสมมติที่เซตติ้งเป็นสไตล์วิคตอเรียน แต่พอดูเรื่อยๆ ก็จะรู้สึกชินไปเอง ซึ่งต้องชมออร่าของพลังนักแสดงระหว่างคู่พระนางเลยครับที่เป็นตัวดึงดูดเรื่องให้น่าดูสุดๆ
รับชมได้ใน Netflix ซีซันแรกทั้งหมด 8 ตอน มีซีซันต่อไปแน่นอน
ติดตามบทความทั้งหมดของผู้เขียนคลิกที่นี่
Reference Website