playinone.com
รีวิว บทความ หนัง ซีรีส์ Netflix สตรีมมิ่งทุกระบบ

รีวิว Cobra Kai SS1-3 (Netflix) ภาคต่อ 30 กว่าปีของ The Karate Kid คืนชีพแฟรนไชส์อย่างสุดยอด

  • ซีซัน 1 - 8.5/10
    8.5/10
  • ซีซัน 2 - 9/10
    9/10
  • ซีซัน 3 - 9/10
    9/10

สรุป

ซีรีส์ภาคต่อของ The Karate Kid เล่าผ่านมุมของตัวร้ายจากหนังภาคแรก ที่ทำออกมาได้สนุก ทุกตัวละครมีมิติ น่าติดตาม พัฒนาการตัวละครสุดยอดมาก ฉากต่อสู้ช่วงท้ายเรื่องของทั้งสามซีซันทำได้โคตรมันส์ คืนชีพแฟรนไชส์อย่างสมบูรณ์แบบ และจะขยายได้อีกเยอะมาก แฟนรุ่นเก่าของหนังเรื่องนี้รับรองไม่ผิดหวัง เพราะมีการนำตัวละครเก่าๆกลับมามากมาย

Overall
8.8/10
8.8/10
Sending
User Review
4.67 (3 votes)

Pros

  • เดินเรื่องสนุกถึงสนุกมาก เนื้อเรื่องง่ายๆแต่กลับเดาทางเรื่องยากจริงๆ
  • แทบทุกตัวละครมีพัฒนาการที่ยอดเยี่ยม
  • ทีมนักแสดงวัยรุ่นเล่นดีมากทุกคน
  • ฉากต่อสู้ช่วงท้ายของทั้งสามซีซันทำได้เยี่ยมยอดมาก โดยเฉพาะฉาก Long Take ในซีซันสอง
  • สอดแทรกปรัชญา และเรื่องแบบ Coming of Age ของวัยรุ่นได้ดีแบบไม่ต้องยัดเยียด
  • คนที่ไม่เคยดู The Karate Kid สามารถดูเรื่องนี้ได้สนุกแน่นอน
  • บทสรุปในซีซันสาม ปูทางไปศึกใหญ่ที่แฟนๆจะต้องลุ้นกันอีกมาก

Cons

  • ฉากโชว์วิชาคาราเต้ช่วงแรกๆทำได้ไม่ดีเท่าไหร่ แต่มีพัฒนาการขึ้นเรื่อยๆ
  • ตรรกะในเรื่องมีจุดไม่สมเหตุสมผลอยู่บ้าง
  • ดูเผินๆซีรีส์เหมือนเป็นหนังเกรดบีทุนต่ำ
  • บทยัดเยียดให้บางตัวละครมีชีวิตโชคร้ายเกินไป

ADBRO

Cobra Kai SS1-3 Netflix รีวิว ซีรีส์ดัดแปลงจากภาพยนตร์คลาสสิกชื่อดังในอดีตอย่าง The Karate Kid โดยจะเป็นการเล่าเรื่องผ่านมุมของตัวร้ายในหนังภาคแรกสุดคือ จอห์นนี่ ลอว์เรนซ์ ที่ถูกพระเอกของหนังภาคแรกคือ แดเนียล ลารุสโซ่ ปราบลงได้ในการแข่งขันคาราเต้นัดชิงลงได้

แต่หลังจากผ่านไป 30 กว่าปี จอห์นนี่ ที่กลายเป็นพวก Loser ก็พบจุดเปลี่ยนของชีวิต จึงได้ตัดสินใจคืนชีพสำนักคอบร้าไคกลับมาอีกครั้ง แต่แน่นอนว่า แดเนียล ก็ไม่มีวันยอมให้สำนักคาราเต้ที่ใช้ความรุนแรงแบบนี้กลับคืนมาเช่นกัน แดเนียลจึงตัดสินใจเปิดสำนัก มิยากิ กลับมาอีกครั้งเพื่อต่อกรด้วย แต่กลายเป็นว่าศึกระหว่างสองสำนักได้ลุกลามไปใหญ่โตและดึงเอาวัยรุ่นจำนวนมากที่รับอิทธิพลจากสำนักของพวกเขาจนมันเกินกว่าที่พวกเขาทั้งสองคนจะควบคุมเรื่องราวได้อีก

ที่สำคัญคือ ซีรีส์ได้นักแสดงจากภาคหนังชุดเก่าอย่าง Ralph Maccio ที่แสดงเป็น แดเนียล และ William Zabka ที่แสดงเป็น จอห์นนี่ กลับมารับบทในเรื่องนี้ในบทเดิมอีกครั้ง นี่จึงเป็นการคารวะต่อหนังภาคแรกและจัดว่าเป็นภาคต่ออย่างแท้จริง

 Cobra Kai (2018) on IMDb

Cobra Kai Trailer ตัวอย่าง

Cobra Kai netflix รีวิว คอบร้าไค Cobra Kai Netflix เรื่องย่อ

เรื่องราวเริ่มขึ้นหลังจากเหตุการณ์ในฉบับหนังภาคแรกผ่านไปกว่า 30 ปี ตัวละครในหนังต่างก็เติบโตขึ้น กลายเป็นผู้ใหญ่ มีหน้าที่การงานในสังคม แต่ตัวของ จอห์นนี่ หลังจากพ่ายแพ้ในครั้งนั้น เขาก็เหมือนถูกภาพวันเก่าๆตามหลอกหลอนที่เขาเคยเป็นส่วนหนึ่งของสำนักคาราเต้ คอบบร้าไค (Cobra Kai) ที่มีนโยบายหลักคือ ไม่มีความปราณี มุ่งใช้ความรุนแรงเป็นหลัก แต่สุดท้ายสำนักก็ถูกพิชิตลงได้ด้วยฝีมือของ มิยากิ และ แดเนียล

จอห์นนี่กลายเป็นคนปลีกตัวจากสังคมและติดเหล้า ต้องทำอาชีพรับจ้างเป็นช่างไฟที่ก็ไม่ได้มีรายได้มากนัก แถมยังมีปัญหาในการทำงานด้วย ชีวิตของเขาสวนทางกับ แดเนียล ที่ทำธุรกิจบริษัทรถยนต์จนมีชื่อเสียงและมีฐานะร่ำรวย แต่ด้วยเหตุการณ์บางอย่าง จอห์นนี่ซึ่งคิดจะฝังอดีตเก่าๆไปแล้ว เขากลับตัดสินใจลุกขึ้นมาขอปลุกชีพ “คอบร้าไค” ให้กลับมาในฐานะของสำนักคาราเต้ตัวแสบอีกสักครั้ง ด้วยนโยบายหลักคือ ไม่ปราณีต่อคู่ต่อสู้ จอห์นนี่ยังรับศิษย์วัยรุ่นคนแรกคือ มิเกล เด็กหนุ่มจิตใจดีแต่ถูกกีดกันและกลั่นแกล้งจากเพื่อนที่โรงเรียน เขาจึงได้มาเข้าสำนักเพื่อขอเรียนวิชาด้วย

แต่แน่นอนว่าเมื่อแดเนียลรู้เรื่องนี้เขาก็ยอมไม่ได้ นอกจากนี้ยังมีปัญหาความเข้าใจที่ไม่ลองรอยกันในครอบครัวระหว่างเขาและลูกสาวคือ แซม กับกลุ่มเพื่อนของเธอที่เป็นพวกตัวแสบกลั่นแกล้งคนอื่น

ในที่สุดแดเนียลจึงได้ตัดสินใจเปิดสำนัก “มิยากิ” เพื่อมาเป็นคู่ปรับกับพวกคอบร้ารุ่นใหม่ แถมคราวนี้แดเนียลยังมาได้ลูกศิษย์หนุ่มคือ ร็อบบี้ แต่แท้จริงแล้วเขาเป็นลูกชายแท้ๆของจอห์นนี่ซะด้วย นั่นจึงทำให้ความขัดแย้งระหว่างจอห์นนี่และแดเนียลเกิดขึ้นอีกครั้ง แถมความขัดแย้งระหว่างรุ่นลูกศิษย์กลับดูจะรุนแรงยิ่งกว่าเดิมซะอีก รวมถึงการกลับมาของ ครีส อาจารย์ผู้ก่อตั้งสำนักคอบร้าไคในอดีตและเป็นคนปลูกฝังความร้ายกาจลงในตัวของจอห์นนี่ตั้งแต่แรกด้วย

Cobra Kai netflix รีวิว คอบร้าไค

Cobra Kai ss1-2 รีวิว

“สนุก ลุ้น และโคตรมันส์ ทั้งที่เนื้อเรื่องดูบ้านๆ” เป็นคำนิยามของซีรีส์ภาคต่ออย่างแท้จริงจากภาพยนตร์ Karate Kid เรื่องนี้เลยครับ และนี่เป็นซีรีส์แบบ “Coming of Age ที่วัยรุ่นและผู้ใหญ่ทุกคนควรดู”

สำหรับจุดที่ตัวซีรีส์เลือกได้ดีในช่วงแรกคือการที่ไม่ได้โฟกัสไปที่วิชาคาราเต้มากนัก แต่ไปเน้นการนำเสนอประเด็นดราม่า ความสัมพันธ์ครอบครัว ปัญหาระหว่างพ่อลูกของทั้งสองครอบครัว ไปจนถึงเรื่องราวในโรงเรียนไฮสคูลที่เต็มไปด้วยวัยรุ่นฮอร์โมนพลุ่งพล่าน ปัญหาการกลั่นแกล้งในโรงเรียนที่ก็เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริงๆในสังคม เรื่องนี้นำเสนอออกมาเต็มที่

สำหรับจุดเด่นที่ซีรีส์ทำได้ดีมากมีหลายเรื่อง คือ

1.การเดินเรื่องกระชับฉับไว เรื่องราวไม่เสียเวลากับดราม่าในชีวิตของ จอห์นนี่ ลอว์เรนซ์ มากจนเกินไป เพียงแค่ตอนแรกเขาก็เจอการบีบคั้นหลายอย่างที่เป็นจุดเปลี่ยนทางความคิดให้เขาลุกขึ้นมาปลุกชีพคอบร้าไคกลับคืนมา ซึ่งนำไปสู่ความขัดแย้งระหว่างเขากับแดเนียลอีกครั้งหนึ่ง

สำหรับคนที่ไม่เคยดูหนัง Karate Kid มาก่อน ไม่ต้องห่วงว่าจะงงกับความสัมพันธ์ตัวละครครับ เพราะซีรีส์จะมีการเล่าเรื่องราวแบบแฟลชแบ็กเหตุการณ์ในหนังภาคแรกแทรกมาเป็นระยะ เพื่อทำให้เราเข้าใจว่า ทำไมแดเนียลถึงได้จงเกลียดจงชังสำนักคอบร้าไคมากนัก ซึ่งมันก็สมควรอยู่กับสิ่งที่พวกคอบร้าไคเคยทำ

2.ด้านการเล่าเรื่องเป็นจุดเด่นมาก ช่วงแรกจะเน้นไปที่มุมมองของ จอห์นนี่ ซึ่งถือว่าซีรีส์เลือกนำเสนอได้ดีมาก เพราะในหนังภาคแรก ตัวละครนี้ถูกสร้างมาให้เป็นตัวร้ายในสไตล์หนังเด็กยุค 80 ที่มีแค่ด้านสีดำ ไม่มีมิติอะไรมานัก คือก็เป็นตัวร้ายที่มีไว้เพื่อให้แกล้งพระเอกอย่างแดเนียลและต้องถูกเอาชนะในตอนจบ

แต่ในซีรีส์เรื่องนี้จะเจาะลึกและสำรวจตัวตนของจอห์นนี่เป็นครั้งแรก มันทำให้เราเห็นว่า เขาไม่ได้ร้ายมาตั้งแต่แรก แต่เป็นเพราะการเลี้ยงดู การเติบโต ในสภาพแวดล้อมที่ไม่ค่อยจะดีนัก และการปลูกฝังของผู้ใหญ่ โดยเฉพาะพ่อเลี้ยงของเขาและอาจารย์ของเขาอย่าง จอห์น ครีส คือต้นเหตุของความรุนแรงทั้งหมด แล้วเขาก็เอาแนวคิดเหล่านี้มาส่งต่อไปให้เด็กรุ่นใหม่อย่างมิเกลและคนอื่นๆต่อไปอีก

3.การสะท้อนแนวคิดและปรัชญาของวิชาคาราเต้ กับชีวิตวัยรุ่น เนื่องจากเรื่องนี้ตัวละครที่ร่วมขับเคลื่อนเรื่องราวคือกลุ่มวัยรุ่น ลูกหลานที่เป็นศิษย์รุ่นใหม่ของทั้งสองสำนัก มันน่าสนใจตรงที่ซีรีส์นำเสนอว่า วัยรุ่นทุกคนนั้น แท้จริงแล้วเป็นอะไรที่ใสบริสุทธ์มาก มันอยู่ที่ว่า ผู้ใหญ่ยัดอะไรให้กับพวกเขา ก็จะส่งผลทำให้พวกเขาเป็นแบบนั้น เป็นแนว Coming of Age ที่ใกล้ตัวและจับต้องได้มากๆ

เรื่องนี้ยังสะท้อนออกมาในตัวจอห์นนี่ได้ดี คือการที่เขามีลูกชาย แต่ไม่สามารถเลี้ยงดูให้ดีได้ จนร็อบบี้กลายเป็นเด็กเสเพล แต่เมื่อร็อบบี้ได้รับ “โอกาส” การอบรมเอาใจใส่ที่ดีจากแดเนียล ที่แทบจะกลายเป็นเหมือนพ่อคนใหม่ที่ร็อบบี้โหยหา มันก็ทำให้ร็อบบี้สามารถกลายเป็นวัยรุ่นที่ดีได้ ส่วนมิเกลที่เป็นเด็กหนุ่มใสซื่อจิตใจดี กลับกลายเป็นคนรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆจากการสั่งสอนของจอห์นนี่ กระทั่งจอห์นนี่เริ่มรู้ตัวว่าเขากำลังผิดพลาดไป มันก็เกือบจะสายไปแล้ว ถึงแม้ว่าสุดท้ายมิเกลจะคิดได้ แต่เรื่องราวก็ส่งผลรุนแรงไปไกลจนเกินกว่าที่จอห์นนี่และแดเนียลจะสามารถควบคุมได้อีก

4.พัฒนาการของตัวละครในแง่ความคิด ซีรีส์จะทำให้เราเห็นการเปลี่ยนแปลงของแทบจะทุกตัวละครในเรื่องได้อย่างไม่น่าเชื่อ ชนิดที่ว่า หากเอาภาพของทุกตัวละครที่ออกมาในตอนแรก มาเปรียบเทียบกับภาพของพวกเขาในตอนสุดท้ายของซีซัน 2 ทุกตัวละครมีการเปลี่ยนแปลงชนิดหน้ามือเป็นหลังมือ บางตัวละครเรียกว่าฟ้ากับเหวไปเลย โดยเฉพาะบรรดาศิษย์รุ่นใหม่ของทั้งสองสำนัก ซึ่งนักแสดงวัยรุ่นในเรื่องนี้ “เล่นดีมาก”

ในส่วนของแดเนียลและจอห์นนี่ก็มีพัฒนาการที่เปลี่ยนแปลงในเรื่องไม่น้อย รวมถึงความสัมพันธ์ของพวกเขาที่เป็นลักษณะคู่แข่งในแบบกลืนไม่เข้าคายไม่ออก มันชวนให้คนดูเอาใจช่วยว่า ตัวเอกทั้งสองคนจะสามารถเป็นมิตรกันได้จริงๆหรือไม่ ซึ่งในเรื่องก็มีทั้งช่วงที่พวกเขาขัดแย้งกันและเริ่มเข้าใจอีกฝ่ายมากขึ้น แล้วก็กลับมาขัดแย้งกันอีก

แต่เหตุการณ์ในตอนสุดท้ายของซีซันสอง น่าจะทำให้ทิศทางความสัมพันธ์ของทุกตัวละครเปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง

สปอย ตอนจบซีซัน 2

การบาดเจ็บสาหัสของมิเกลจากฝีมือของร็อบบี้ ที่เจ้าตัวถูกอารมณ์ชั่ววูบเล่นงาน ซึ่งเหตุการณ์นี้เพียงฉากเดียวส่งผลกระทบต่อเรื่องราวทั้งหมด ทำให้ครีสสามารถยึดสำนักคอบร้าไคไปจากจอห์นนี่ได้ ส่วนแดเนียลก็ถูกภรรยาต่อว่าจนจำเป็นต้องยุบสำนักมิยาเกะ

แต่ในฉากสุดท้ายก็มีระเบิดลูกใหญ่ เมื่ออาลี่ นางเอกจากหนัง Karate Kid ภาคแรก จะติดต่อกับจอห์นนี่ ซึ่งการมาของตัวละครนี้น่าจะส่งผลกระทบต่อทั้งจอห์นนี่และแดเนียล

ตรงนี้น่าสนใจไม่น้อย เพราะตามที่บอกไว้ในเรื่อง อาลี่ได้ทำงานเป็นแพทย์ รวมถึงสามีเธอด้วย บทของเธออาจจะเข้ามามีส่วนในแง่การดูแลร่างกายให้มิเกลเพื่อฟื้นฟูร่างกายก็เป็นได้

ส่วนจุดด้อยของซีรีส์ก็มีเช่นกัน โดยเฉพาะในซีซันแรกที่ต้องยอมรับว่า ซีรีส์เรื่องนี้สร้างมาราวกับซีรีส์เกรดบีทุนต่ำอยู่พอสมควร ทั้งในแง่โปรดักชั่น นักแสดง สถานที่ แม้กระทั่งแอ็กติ้งในวิชาคาราเต้ในช่วงแรกก็ดูไม่ค่อยน่าเชื่อถือว่าเป็นคาราเต้ที่ใช้งานได้จริง เพราะช่วงแรกถูกแสดงออกมาโดยจอห์นนี่และแดเนียล ที่อายุค่อนข้างเยอะแล้ว แถมยังไม่ได้ใช้คาราเต้มานานแล้วด้วย ทั้งสองคนจึงไม่ได้เป็นผู้ชายวัยกลางคนที่ดูมีรูปร่างแข็งแรง และไม่ได้มีการโชว์สัดส่วนกล้ามเนื้อที่ดูสมเป็นนักต่อสู้เท่าไรนัก

แต่ในแง่หนึ่งมันก็เป็นความสมจริง เพราะทั้งสองคนร้างราไปจากวงการต่อสู้มานาน เพราะอายุในเรื่องของพวกเขาก็ประมาณ 40 กว่าปีแล้วด้วย ท่วงท่าในการต่อสู้ของทั้งสองคนช่วงแรกจึงดูเป็นแบบคนมีอายุสักหน่อย อย่างไรก็ตามในด้านฉากแอ็กชั่นและการโชว์ท่าคาราเต้ในส่วนนี้กลับทำดีขึ้นเรื่อยๆจนกระทั่งถึงช่วงแข่งขันในตอนท้ายซีซันแรก แล้วก็มาแก้ไขปรับปรุงจนออกมาดีเยี่ยมสุดๆในตอนจบของซีซันสอง สำหรับฉากที่โรงเรียน ที่ถือว่าเป็นหนึ่งในสุดยอดฉาก Long Take ที่ดีเยี่ยมมากๆฉากหนึ่งเท่าที่เคยสร้างกันในซีรีส์เลยครับ

อีกจุดที่ด้อยคือ ซีรีส์สร้างภาพของสังคมโรงเรียนไฮสคูลที่เน้นเรื่องการบูลลี่กันในแบบที่ดูแล้วเหมือนโรงเรียนไร้การควบคุม แม้ว่าสังคมวัยรุ่นในโรงเรียนมันก็จะรุนแรงได้แบบนี้จริงๆก็ตาม แต่เพราะในซีรีส์มันเป็นโรงเรียนที่มีชื่อเสียงและสำหรับลูกคนรวย จึงน่าจะมีระบบการรักษาความปลอดภัยที่เข้มข้นกว่านี้

สรุปภาพรวมแล้ว เป็นซีรีส์ในระดับที่ทำออกมาสนุกเกิดความคาดหมาย มีการสอดแทรกปรัชญาชีวิตผ่านคาราเต้และนำเสนอได้ในแบบที่ไม่ยัดเยียดเกินไป ไม่มีขาวดำสุดโต่ง แถมยิ่งดูไป เราก็พูดลำบากว่า สิ่งที่จอห์นนี่ทำเป็นเรื่องผิดไปหมด เพราะสิ่งที่เขาทำมันช่วยให้เด็กบางคนไม่ต้องถูกรังแกอีกจริงๆ ในขณะที่แดเนียลเองก็เป็นอดีตพระเอกที่มีทั้งข้อดีและข้อเสีย เป็นมนุษย์ที่มีสีเทาเหมือนกัน

แนะนำว่านี่เป็นสุดยอดซีรีส์อีกเรื่องใน Netflix ที่ควรรับชมครับ แล้วจะไม่ผิดหวัง และวัยรุ่นกับผู้ใหญ่ทุกคนควรดูเรื่องนี้

Cobra Kai ss3 รีวิว

หลังจากหายนะของสำนักคาราเต้ทั้งสองแห่งคือ คอบราไค และ มิยากิ ที่เกิดขึ้นจากเหล่าลูกศิษย์ที่ได้ก่อเรื่องขึ้นในตอนจบซีซันสอง ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อชีวิตของตัวละครในเรื่อง โดยเฉพาะสองอาจารย์อย่าง จอห์นนี่ กับ แดเนียล แล้วอีกคนที่ได้รับผลกระทบรุนแรงที่สุดก็คือ มิเกล ที่เกือบจะต้องกลายเป็นคนพิการ รวมถึง ร็อบบี้ ที่ต้องกลายเป็นคนที่ตำรวจต้องการตัวจากสิ่งที่เขาก่อไว้กับมิเกล

แต่คนที่ได้ผลประโยชน์ที่สุด กลับกลายเป็น ครีส ที่สามารถฮุบสำนักคอบราไคมาไว้กับตัวได้สำเร็จ ทำให้จอห์นนี่แทจะไม่เหลืออะไรในชีวิต แต่แล้วในต้นซีซันนี้ เขาก็ต้องกลับมาร่วมมือกับศัตรูคู่แข่งตลอดกาลอย่างแดเนียล เพื่อตามหาร็อบบี้ที่หนีหายไป ในขณะที่เขาก็ต้องการแก้ไขความผิดพลาดที่ส่งผลต่อชีวิตของมิเกล ลูกศิษย์ที่เคารพและไว้ใจเขาที่สุดด้วย

ซีซันสามยังมีการเดินเรื่องที่น่าสนใจเอามากๆและน่าจะทำให้แฟนๆของหนังชุดคาราเต้คิดได้ร้องว้าว เพราะแดเนียลตกอยู่ในสถานการณ์ที่จำเป็นต้องให้เขาเดินทางกลับไปเยือนเกาะโอกินาวะ บ้านเกิดของมิยากิ แล้วยังเป็นสถานที่ซึ่งเขาเคยมีอดีตมากมายจากในหนัง The Karate Kid II ที่แล้วสำคัญคือ หนังโคตรจะเซอร์วิสแฟนรุ่นเก่าด้วยการนำตัวละครสำคัญในภาคสองกลับมาอีกครั้ง ไม่ว่าจะเป็น คุมิโกะ นางเอกของหนังภาคสอง รวมถึงตัวร้ายเก่าอย่าง โชเซ็น โนงุจิ ซึ่งทั้งสองตัวละครก็ได้นักแสดงเดิมกลับมารับบทอีกครั้งหนึ่ง เรียกว่าตัวเรื่องกำลังขยายสเกลออกไปมาก จนนี่กำลังจะไม่ใช่แค่ซีรีส์คอบราไคเท่านั้นแล้ว แต่มันคือการ สำรวจจักรวาลหนัง The Karate Kid จากในอดีต แล้วขยายเรื่องราวของตัวละครในหนังชุดนี้ให้กลับมามีชีวิตด้วยกันทั้งหมด

แล้วในภาคนี้ หนึ่งในตัวละครที่หลายๆคนรอคอยอย่าง เอลิซาเบธ ก็จะได้กลับมามีบทบาทอีกครั้ง หลังจากตอนจบภาคสองได้ทิ้งเชื้อเอาไว้

อีกจุดหนึ่งที่เป็นข้อเด่นของภาคนี้ก็คือ การสำรวจปมของตัวละครที่คนดูเกลียดที่สุดอย่าง ครีส โดยตลอดซีซันจะเป็นการเล่าเรื่องแบบ Flash Back อดีตของครีส สลับกับเรื่องราวในปัจจุบัน ว่าอะไรที่ทำให้ผู้ชายคนหนึ่งกลายมาเป็นตัวร้ายที่มีตรรกะรุนแรงสุดกู่แบบนี้ได้ ตรงนี้ถือว่าเป็นความกล้าของทีมสร้าง ที่เลือกเดินเรื่องแบบนี้ เพราะปกติมุขที่ใช้การย้อนอดีตตัวละครสลับไปมาแบบนี้ มักจะนำมาใช้กับตัวเอกของเรื่องมากกว่า (เช่นซีรีส์ Arrow) แต่นี่ดันเอามาใช้กับตัวร้ายอย่างครีสซะอย่างนั้น แล้วมันก็ทำได้ดีซะด้วย

ส่วนจุดด้อยของซีซันสามก็มีอยู่บ้าง เช่น การเขียนบทแบบยัดความซวยให้ตัวละครในเรื่องมากไปนิด โดยเฉพาะร็อบบี้ ที่บทพยายามจะเขียนให้เขาต้องมาเข้าร่วมกับครีสเสียเหลือเกิน ในขณะที่ตัวละครที่จะกลับใจ ก็ดูจะง่ายเกินไปหน่อย หลังจากตีกันมาแทบตายทั้งสองซีซัน อย่าง เดมิทรี

ส่วนบทสรุปของซีซัน ถ้าคุณเป็นแฟนของซีรีส์เรื่องนี้ รับรองได้เลยว่า อะไรที่คนดูเคยคาดหวังและอยากเห็น คุณจะได้เห็นในตอนสุดท้ายของซีซัน แล้วก็เป็นสัญญาณว่า ซีซัน 4 ที่จะมาถึงในปีต่อไป จะเป็นซีซันที่สุดมันส์ยิ่งกว่าเดิม

ติดตามบทความทั้งหมดของผู้เขียนคลิกที่นี่

Reference Website

https://www.imdb.com/title/tt7221388/

The Devil’s Hour ช่วงเวลาปีศาจ ตี 3.33 นาที ที่เต็มไปด้วยเรื่องเซอร์ไพรส์เกินคาด!