รีวิว Fatherhood Netflix คุณพ่อเลี้ยงเดี่ยว หนังเพื่อคุณพ่อคุณแม่และลูกๆ ทั่วโลก
Fatherhood
สรุป
หนังสำหรับพ่อและแม่เลี้ยงเดี่ยวทุกคนทั่วโลก สมกับเป็นหนังรับวันพ่อ Father’s Day โลก พล็อตเรื่องธรรมดา บทซึ้งกลางๆ แต่ดูแล้วอินได้ง่าย นักแสดงเล่นดี เป็นหนังฟีลกู๊ดแนวครอบครัว
Overall
7/10User Review
( vote)Pros
- เป็นหนังฟีลกู๊ดดีๆที่ควรดู
- หนังไม่ได้นำเสนอการเป็นพ่อเลี้ยงเดี่ยวอย่างเดียว แต่หมายถึงพ่อแม่ และลูกด้วย
- คนดูมีอารมณ์ร่วมกับตัวละครได้ง่าย
- มีพากย์ไทย
Cons
- พลอตเรื่องธรรมดามาก ไม่มีอะไรแปลกใหม่
- ตัวละครไม่ได้มีชีวิตลำบากอะไรถ้าเทียบกับหนังดราม่าครอบครัวเรื่องอื่น
- บทช่วงท้ายจบง่ายไปนิด
Fatherhood Netflix รีวิว คุณพ่อเลี้ยงเดี่ยว หนังแนวดราม่า ฟีลกู้ด ให้กำลังใจ สร้างจากเรื่องจริงของคุณพ่อมือใหม่ที่ต้องเลี้ยงลูกคนเดียว หลังจากเสียภรรยาไปหลังคลอดลูก เป็นหนังที่เหมาะกับทุกครอบครัว
หนังความยาว 1.49 ชม. แสดงโดย Kevin Hart รับชมได้เลยใน Netflix
Fatherhood Netflix Trailer
คุณพ่อเลี้ยงเดี่ยว เรื่องย่อ
เรื่องราวของ แมตต์ และ ลิชชี่ สองสามีภรรยาที่กำลังจะมีลูกด้วยกัน แต่แล้วทุกอย่างกลับพลิกผันในชั่วพริบตาเมื่อลิชชี่คลอดลูกสาว แมดดี้ ออกมาแล้ว เธอกลับเสียชีวิตโดยไม่คาดฝัน ทิ้งให้แมตต์ต้องเลี้ยงดูลูกสาวเพียงลำพัง ในขณะที่แมตต์เองก็ต้องตัดสินใจว่า จะทำยังไงดีกับการเลี้ยงดูเด็กทารกแรกเกิด
ในขณะที่ญาติพี่น้องคนอื่น เช่น ตายาย พ่อแม่ของฝั่งภรรยา ก็รู้สึกว่าแมตต์ยังไม่พร้อมเลี้ยงหลานของพวกเขา นั่นยิ่งทำให้แมตต์ต้องพารพิสูจน์ว่าเขาสามารถทำได้ แต่ในขณะเดียวกันแมตต์ก็ต้องหาทางบาลานซ์ชีวิตการทำงานที่กำลังเติบโตไปพร้อมกับการเลี้ยงดูลูกสาวด้วย ซึ่งก็มีผู้คนมากมายรอบข้างเขาที่พร้อมเอาใจช่วย ทั้งเพื่อนฝูง ญาติมิตร หัวหน้างาน จนกระทั่งแมตต์เริ่มจะพบว่าเมื่อแมดดี้เติบโตขึ้น มันก็อาจจะไม่ได้มีกันแค่พวกเขาสองคนพ่อลูกอีกต่อไป
Fatherhood รีวิว
เรื่องราวทั้งหมดในหนังเรื่องนี้ เหมือนเป็นเรื่องราวที่คนดูสามารถพบได้ง่ายๆ ชีวิตของตัวเอกอย่าง แมตต์ และ แมดดี้ เสมือนกับพ่อลูกที่มีอยู่ทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นพ่อเลี้ยงเดี่ยวหรือไม่ก็ตาม นี่จึงเป็นหนึ่งในหนังชีวิตที่คนดูมีความรู้สึกร่วมไปด้วยในระหว่างรับชม เพราะเสมือนได้ดูชีวิตของตัวเองไปด้วย ทั้งการเลี้ยงดูทารก ขั้นตอนต่างๆที่ใหม่หมดสำหรับพ่อแม่มือใหม่ แม้กระทั่งเรื่องอึเด็กที่แตกต่างกันไป หรือแม้แต่คนที่เป็นลูกๆ ไม่ว่าจะลูกชายหรือลูกสาวก็อาจจะชวนให้รู้สึกนึกถึงพ่อแม่ของตนเองได้เหมือนกัน
ส่วนจุดดีที่สุดของหนังเรื่องนี้ ขอยกให้การแสดงของ Kevin Heart ในบทแมตต์ ที่ต้องชมว่าเขาเล่นได้ถึงจริงๆ และตีบทแตกจนเราเชื่อว่าเขาเป็นพ่อเลี้ยงเดี่ยวจริง รวมถึงเด็กหญิง Melody Hurd ที่แสดงได้ดีพอสมควรกับบทลูกสาวแมดดี้
หนังยังมีจุดดีอื่นๆ อีกคือ แม้ว่าหนังจะนำเสนอเรื่องราวของคุณพ่อเลี้ยงเดี่ยว แต่ที่จริงแล้วมันยังสามารถแทนตัวของพ่อและแม่ได้ หรือกระทั่งปู่ย่า และคนที่เป็นลูกเมื่อดูแล้วก็อาจเกิดความรู้สึกร่วมและหวนย้อนนึกถึงชีวิตวัยเด็กของตนเอง และก็เป็นหนังที่คนเป็นพ่อแม่มือใหม่ก็อาจจะอินไปด้วย หรืออาจจะกดดูซ้ำหลายรอบ
ในด้านการเล่าเรื่อง หนังใช้วิธีเปิดเรื่องมาด้วยความโศกเศร้าของสามีที่ต้องสูญเสียภรรยาที่เพิ่งคลอดลูกสาวไปอย่างกะทันหัน การที่หนังตั้งใจใช้วิธีเปิดด้วยงานศพ แล้วใช้การเล่าย้อนช่วงแรก เสมือนต้องการจับเอาดราม่า มาขยี้จิตใจคนดู ซึ่งความสูญเสียที่ว่านี้อาจเกิดขึ้นกับใครก็ได้ แล้วหนังก็ค่อยๆ นำเสนอให้คนดูได้ติดตามชีวิตของคุณพ่อเลี่ยงเดียวมือใหม่สุดๆ ที่เพิ่งเริ่มต้นขึ้น
แม้ว่าประเด็นในหนังจะไม่ใช่เรื่องใหม่ มีหนังแนวครอบครัวหลายเรื่องที่เล่นเรื่องพวกนี้ แต่มีอยู่ประเด็นหนึ่งที่หนังนำเสนอได้ดีมากนั่นคือปมเรื่องความกลัวที่จะมูฟออนของแมตต์ ที่ได้เจอความสูญเสียจนเขารู้สึกว่าแมดดี้คือสิ่งเดียวที่เขาเหลืออยู่ ในขณะที่แมดดี้เองนั้น แมตต์ก็คือสิ่งที่เธอรักมากที่สุดและเธอรู้สึกกลัวเหมือนกันหากจะมีใครมาแย่งเขาไป ดังนั้นเมื่อเริ่มมีบุคคลที่สามเข้ามาใหม่ แมดดี้จึงมีการต่อต้านไปบ้าง แต่จุดที่หนังทำได้ดีมากก็คือการต่อต้านของแมดดี้ใช้เวลาเพียงสั้นมากๆ เพราะลึกๆแล้วแมดดี้เองก็เป็นเด็กหญิงที่ต้องการใครสักคนเข้ามาเพิ่มในครอบครัวที่มีกันแค่สองคน ตรงนี้เองที่หนังวางคาแรคเตอร์ของตัวละครมาได้สมจริงดีและเหมือนเป็นการบอกบรรดาพ่อแม่ในโลกความจริงที่ชอบเลี้ยงลูกแบบโอเวอร์ดราม่าหรือปกป้องเกินไปว่า เฮ้ย ที่จริงแล้วไม่ใช่เด็กหรอกที่ติดคุณ แต่พวกคุณต่างหากที่ติดเด็กมากไป หัดให้เขาได้อยู่กับปู่ย่าตายายหรือคนอื่นบ้าง
อีกทั้งเด็กอย่างแมดดี้ก็ไม่ใช่เด็กดราม่า แต่เป็นเด็กฉลาดที่เรียนรู้สิ่งต่างๆรอบตัว และกล้าจะเปิดรับสิ่งใหม่ๆ แล้วแม้ว่าเธอจะมีความกบฏและหนังพยายามนำเสนอเรื่องการเรียกร้องสิทธิความเท่าเทียมในแบบเฟมินิสต์ แต่ก็ไม่ได้ถึงขั้นต้องฝืนไม่ทำตามกฎระเบียบไปเสียหมด เพราะเด็กอย่างแมดดี้ยังมีลักษณะที่เราพบได้ในเด็กทั่วไป ในทางกลับกัน เป็นฝั่งแมตต์เองที่ต้องรู้จักที่จะเรียนรู้ ยอมปล่อยวาง และหาทางข้ามปมความเศร้าจากากรสูญเสียในอดีตให้ได้
อีกจุดที่หนังนำเสนอได้ดีคือ การเรียนรู้การเลือกบาลานซ์ระหว่างชีวิตการทำงาน และชีวิตการเป็นพ่อเลี้ยงเดี่ยว ซึ่งในเรื่องก็จะนำเสนอประเด็นนี้ตั้งแต่แรกจนจบที่ตัวแมตต์ต้องเลือกเส้นทางการทำงานควบคู่ไปการการเลี้ยงลูกสาว
แต่ก็มีจุดด้อยอยู่ไม่น้อย เมื่อหนังอาจจะนำเสนอในแบบฟีลกู้ดจนเรียกว่าแทบจะเป็นหนังเด็กไปสักหน่อย หากมองในแง่ที่ว่าหนังเรื่องนี้สร้างจากเรื่องจริงตามที่อ้างไว้ เพราะเราจะรู้สึกว่ามันมีครอบครัวพ่อแม่เลี้ยงเดี่ยวอีกมากที่ชีวิตยากลำบากและต้องทรหดกว่านี้หลายสิบเท่า แถมช่วงขยี้ดราม่าของเรื่องในช่วงท้ายก็ทำได้ “ไม่ค่อยถึงเท่าไหร่” หากเทียบกับช่วงก่อนท้ายเรื่องประมาณ 30 นาที ที่หนังทำช่วงนั้นได้ดีกว่า แต่หลังจากนั้นก็จะดูเรียบๆ ไปนิด กระทั่งแมตต์เลือกตัดสินใจที่จะอยู่ใกล้ชิดกับลูกแทนที่จะเลือกความก้าวหน้าในอาชีพ รวมถึงกลับไปคืนดีกับแฟนสาว แต่หนังก็ไม่ได้บอกเล่าว่าหลังจากนี้เขาจะเป็นยังไงต่อ เพียงแต่ตัวหนังก็สื่อให้เราเห็นเป็นนัยว่าเขาก็คงจะไม่เป็นไร ในเมื่อตอนนี้ครอบครัวจะมีคนเพิ่มเข้ามาแล้ว
ภาพรวมแม้ว่าพล็อตหนังจะเข้าขั้นธรรมดา และประเด็นดราม่าในเรื่องก็ไม่ได้แปลกใหม่ หากเทียบกับหนังแนวดราม่าเรียกน้ำตาเรื่องอื่น แต่เข้าใจได้ว่าการที่หนังเป็นที่นิยมและขึ้นติดท็อปอันดับต้นๆทั่วโลก เป็นเพราะหนังเข้าฉายในช่วงวัน Father’s Day ของโลก ซึ่งในแต่ละปีจะไม่ตรงกัน โดยในปี 2021 นี้ตรงกับวันที่ 20 มิถุนายน ที่ผ่านมา ซึ่งหนังเรื่องนี้คงจะเหมาะกับคนที่เป็นพ่อแม้ทุกคนที่จะได้รับชมกัน และคนเป็นลูกก็ควรจะได้ดูเช่นกัน
ติดตามบทความทั้งหมดของผู้เขียนคลิกที่นี่
Reference Website