playinone.com
รีวิว บทความ หนัง ซีรีส์ Netflix สตรีมมิ่งทุกระบบ

รีวิว House of Cards Netflix เกมอำนาจ ซีรีส์ตีแผ่การเมืองด้านมืด อำนาจไม่ปราณีใคร

สรุป

House of Cards เป็นหนึ่งในซีรีส์ระดับขึ้นหิ้งแนะนำใน Netflix การแสดงของ เควิน สเปซีย์ และแนวทางของผู้กำกับ เดวิด ฟินเชอร์ การันตีผลงาน เจาะลึกด้านมืดในวงการเมืองและการเลือกตั้งของสหรัฐอเมริกา คนไม่ชอบซีรีส์แนวการเมืองเน้นคุยทั้งเรื่องอาจจะลองเปิดใจดู

Overall
9/10
9/10
Sending
User Review
5 (2 votes)
Comments Rating 0 (0 reviews)

Pros

  • การแสดงของนักแสดงนำอย่าง เควิน สเปซีย์ ในบทแฟรงค์ อันเดอร์วู้ด ถือว่าสุดยอดมาก
  • เทคนิคการเล่าแบบ หันมาคุยกับคนดูตลอดทำให้เรื่องไม่น่าเบื่อ เพิ่มความมีสีสันมาก
  • โปรดักชั่นและงานสร้างยอดเยี่ยม ดนตรีประกอบเร้าใจ
  • นำเสนอด้านมืดในวงการเมืองสหรัฐชนิดที่ไม่เคยมีเรื่องไหนเจาะลึกขนาดนี้มาก่อน
  • ตัวละครส่วนมากมีความเรียลและดิบมาก มีแรงขับเคลื่อนชัดเจน

Cons

  • บทพีคมากใน 1-2 ซีซันแรก แต่จะเริ่มเนือยบ้างใน 3-4 และพีคมากในซีซัน 5 ก่อนจะดรอปไปในซีซัน 6
  • ซีรีส์เน้นคุยตลอดเรื่อง อาจจะไม่เหมาะสำหรับคนไม่ชอบแนวนี้
  • ตรรกะความคิดของตัวละครฝั่งตรงข้ามกับตัวเอกอาจจะดูขัดใจบ้าง เพราะดูเหมือนหาคนที่เจ้าเล่ห์และรู้ทันคู่สามีภรรยาตัวเอกได้ยากขึ้นเรื่อยๆ

House of Cards รีวิว เกมอำนาจ ซีรีส์การเมืองที่ทำให้ Netflix ดังระดับโลก การแสดงของ เควิน สเปซีย์ ผู้กำกับ เดวิด ฟินเชอร์ เจาะลึกการเมือง เลือกตั้ง สหรัฐอเมริกา

House of Cards ไม่เพียงแต่เป็นซีรีส์ที่สร้างชื่อเสียงให้ Netflix อย่างมากในยุคแรกเท่านั้น เรื่องนี้ในช่วงที่ออกฉายยังได้รับการยกย่องจก บารัค โอบามา เมื่อครั้งยังดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐในเวลานั้นอย่างมาก ซึ่งก็ทำให้เกิดกระแสแนะนำเรื่องนี้หนักขึ้นไปอีก

ซึ่งหนึ่งในปัจจัยความสำเร็จของเรื่องนี้ ปฏิเสธไม่ได้ถึงฝีมือการแสดงของ เควิน สเปซีย์ จากการตีบทแตกกับบทบาทการแสดงเป็น “ฟรานซิส อันเดอร์วู้ด” หรือที่ในเรื่องเรียกกันว่า แฟรงค์ นักการเมืองผู้พร้อมจะใช้กลยุทธ์ทุกอย่าง และพร้อมใช้ทุกวิธีการไม่ว่าจะเป็นสีขาว เทา ดำ เพื่อบดขยี้คู่แข่งทางการเมือง ดิสเครดิตฝายตรงข้าม การล็อบบี้อีกฝ่ายเพื่อผลประโยชน์ของตนเอง เพื่อทำให้ตัวเองบรรลุเป้าหมาย รวมถึงการหาหนทางที่จะไต่เต้าเข้ากุมอำนาจสูงสุดในวงการเมืองสหรัฐอเมริกา และก้าวขึ้นไปจนถึงตำแหน่งประธานาธิบดี

 

House of Cards ตัวละคร

ฟรานซิส อันเดอร์วู้ด หรือ แฟรงค์ นักการเมืองผู้เลือดเย็น พร้อมทำทุกอย่างเพื่อผลประโยชน์และเป้าหมายของตนเอง ในซีซันแรก เขาได้รับคำสัญญาจากประธานาธิบดีที่เพิ่งชนะการเลือกตั้งว่าจะให้ตำแหน่งรัฐมนตรีที่เขาได้รับคำสัญญาไว้จากการที่เขามีส่วนช่วยให้ชนะการเลือกตั้ง แต่ผลกลับไม่เป็นตามนั้น ทำให้เขาตัดสินใจที่จะไม่ภักดีอีก พร้อมกับหันมาทำทุกอย่างตั้งแต่การล็อบบี้ แบล็คเมล์ เพื่อนำไปสู่เป้าหมายในการกุมอำนาจเบื้องหลังทำเนียบขาว

แฟรงค์พร้อมใช้วิธีทั้งในตำราและนอกตำรา หาพวกและเส้นสายในวงการข่าวเพื่อให้ปล่อยข่าวที่จะเป็นประโยชน์ต่อตัวเขา รวมถึงปลุกปั้นนักการเมืองคนอื่นขึ้นมาใช้ประโยชน์ แล้วพร้อมจะเฉดทิ้ง

แฟรงค์ไต่เต้าจนกระทั่งเขาไต่เต้าขึ้นสู่ตำแหน่งรองประธานาธิบดี และได้เป็นประธานาธิบดีในที่สุด แต่สุดท้ายแล้วศัตรูทางการเมืองที่ร้ายกาจที่สุดของเขากลับไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นแคลร์นั่นเอง

ในระหว่างการเดินเรื่อง แฟรงค์ จะมีการหันมาพูดคุยกับคนดูอยู่ตลอด เหมือนเป็นการทลายกำแพง 4 มิติ ในขณะที่เวลาในเรื่องก็ยังเดินอยู่ ซึ่งก็จะมีทั้งหันมาอธิบายอะไรเพิ่ม หันมาชวนคุย ไปจนถึงแค่หันมาทำหน้ายักคิ้วหลิ่วตาแบบรู้กันกับคนดู ในระหว่างสถานการณ์ต่างๆ นี่จึงเป็นเสน่ห์สำคัญของซีรีส์เรื่องนี้ แต่ในซีซันหลัง แคลร์ ก็จะกลายเป็นตัวละครที่หันมาคุยกับคนดูแทนแฟรงค์

แคลร์ อันเดอร์วู้ด ภรรยาของแฟรงค์ เบื้องหน้าทำมูลนิธิน้ำสะอาด NGO แต่แท้จริงแล้วเธอคอยช่วยหนุนหลังแฟรงค์อยู่เบื้องหลังทางการเมือง แคลร์เป็นภรรยาที่มีความเลือดเย็นไม่แพ้แฟรงค์ ในบางมุมยังมีความโหดมากกว่าด้วย เธอสามารถแยกแยะเรื่องส่วนตัวและเป้าหมายทางการเมืองได้ ชนิดที่ต่อให้แฟรงค์ไปมีอะไรกับใครเธอก็ไม่สนใจถ้าหากนั่นทำเพื่อเป้าหมายและได้ประโยชน์ เธอก็รับได้ การใช้ชีวิตคู่ระหว่างพวกเขาสองคนจึงเป็นในลักษณะที่ต่างฝ่ายต่างมีผลประโยชน์ร่วมกันมากกว่าจะแค่เรื่องความรักชายหญิง

หลังจากสองสามีภรรยาอันเดอร์วู้ดได้กอบโกยผลประโยชน์และขึ้นสู่อำนาจมากขึ้นเรื่อยๆ ก็กลายเป็นว่าศัตรูตัวฉกาจที่สุดของแฟรงค์ กลับกลายเป็นแคลร์ที่ขึ้นมาเป็นประธานาธิบดีในซีซัน 6

ดั้กกลาส แสตมป์เปอร์ มือขวาผู้ภักดีของสามีภรรยาอันเดอร์วู้ด เมื่อแฟรงค์ชนะเลือกตั้ง เขาได้รับตำแหน่ง หัวหน้าคณะทำงานของทำเนียบขาว เป็นคนที่พร้อมทำงานทุกประเภทให้แฟรงค์ตั้งแต่เรื่องเล็กจนถึงเรื่องใหญ่

แล้วก็กลายเป็นดั้กนี่เองคือคนสุดท้ายที่จะลงมือสังหารแคลร์ แต่กลับถูกแคลร์เล่นงานเสียเองในฉากสุดท้ายของเรื่อง

 

House of Cards รีวิว สปอยล์

House of Cards เริ่มจากเล่าเรื่องราวของ แฟรงค์ อันเดอร์วู้ด นักการเมืองจากเซาท์คาโรลิน่า ตัวแทนจากพรรคเดโมแครต กำลังอยู่ระหว่างการฉลองชัยชนะจากการเลือกตั้งของประธานาธิบดี แกเร็ธ วอล์คเกอร์ ซึ่งสัญญาว่าจะให้เขาได้ตำแหน่ง Secretary o f State แต่ประธานาธิบดีกลับไม่ทำตามที่สัญญาไว้ เพราะต้องการให้เขาช่วยรับบทบาทอื่น นี่จึงเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้แฟรงค์และแคลร์ซึ่งเป็นภรรยาเข้าสู่การวางแผนมากมายในการไต่เต้าและกุมอำนาจ ไม่ว่าจะต้องใช้วิธีการไหนก็ตาม

สำหรับในซีซันแรก เปิดฉากแรกด้วยการเล่าถึง แฟรงค์ ที่ได้ยินเสียงรถชนสุนัข เขาจึงออกมาหน้าบ้านแล้วพบว่ามีสุนัขถูกชนแล้วหนี เขาจึงทลายกำแพงสี่มิติมาคุยกับคนดูว่า ทำไมจึงควรฆ่าสุนัขที่กำลังบาดเจ็บตัวนี้ไปเสีย เพื่อไม่ให้มันทรมาน เพียงแค่นาทีเดียวในเรื่องก็สามารถทำให้เราได้เห็นว่า เขาคือนักการเมืองแบบไหน และคนที่จะได้อำนาจทางการเมืองต้องมีความเลือดเย็นระดับไหน รวมถึงเป็นการเปิดแนวทางของเรื่องด้วยว่า เมื่อคุณเริ่มดูซีรีส์เรื่องนี้ แฟรงค์ จะชวนคนดูคุยตลอดเรื่อง ไปจนถึงอธิบายมุมมองความคิดของเขาต่อเรื่องราวต่างๆให้เราฟัง ดังนั้นถ้าคุณห่วงว่า นี่จะเป็นซีรีส์การเมืองแนว คุย คุย คุย ๆๆๆๆๆ แล้วน่าเบื่อเหมือนหนังการเมืองเรื่องอื่นๆ ไม่ต้องห่วงเลย เพราะแฟรงค์จะทำให้คุณมีอารมณ์ร่วมไปกับเรื่องราว จนคนดูจะต้องหันมาเอาใจช่วยและเชียร์ตัวเขาไปด้วย

ซึ่งเรื่องในซีซันแรก จบลงเมื่อแฟรงค์รับเป็นผู้ท้าชิงตำแหน่งรองประธานาธิบดี ซึ่งหลังจากนั้น แฟรงค์ก็ได้ชนะเลือกตั้งจนกลายเป็นประธานาธิบดีสำเร็จในซีซัน 3

แต่แล้วตำแหน่งประธานาธิบดีก็กลายเป็นของแคลร์ ซึ่งกลายเป็นตัวหลักของการเดินเรื่องในซีซันที่ 6

สำหรับซีรีส์เรื่องนี้ ถือว่าเป็นหนึ่งในเรื่องที่ “แนะนำ” ให้ต้องดูสำหรับซีรีส์ฝรั่งของ Netflix ที่สำคัญคือนี่เป็นเรื่องที่สร้างชื่อเสียงอย่างมากให้กับ Netflix ในช่วงบุกเบิก ทำให้มีสมาชิกสมัครเข้ามารับชมเรื่องนี้มากขึ้น จนกระทั่งเป็นกระแสในช่วงที่ออกฉาย

จุดเด่นสำคัญที่สุด คือการแสดงที่โคตรสมบทบาทของ เควิน สเปซีย์ ในบท แฟรงค์ อันเดอร์วู้ด ซึ่งหน้าตาและท่าทางของขาก็เข้ากับบทบาทนักการเมืองสายเหี้ยม สีเทาๆจนไปถึงดำ ที่เรียกว่าแสดงได้เหี้ยมและเลือดเย็นมาก แถมในส่วนของการเล่าเรื่องแบบทลายกำแพงมิติที่ 4 ออกมาคุยกับคนดู เขาก็ทำได้ดีเยี่ยม ด้วยลีลาหน้าตากวนประสาท ที่บางครั้งไม่ต้องพูดอะไรมาก แค่หันมายักคิ้วหลิ่วตาให้คนดูแบบรู้กันในบางฉากก็ทำได้เยี่ยมมาก

นอกจากนี้ในส่วนของนักแสดงรองและสมทบคนอื่นๆก็ทำได้ดี โดยเฉพาะบทของ แคลร์ ที่แสดงโดย โรบิน ไรท์ ก็ทำได้ดี เนื่องจากเธอสามารถสื่อความเลือดเย็นออกมาทางสีหน้าท่าทางได้ สรุปแล้วเรียกว่าในด้านการแคสติ้งของเรื่องนี้ แทบไม่มีรอยด่างเลย

ในส่วนของบท การเล่าเรื่อง ถือว่าเป็นซีรีส์การเมืองสายดาร์กที่หาได้ยากมากสำหรับซีรีส์แนวการเมืองของสหรัฐ เพราะทุกเรื่องก่อนหน้านี้ มักนำเสนอในแนวเชิดชู Propaganda สำหรับการเมืองสหรัฐอย่างชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นซีรีส์การเมืองในทำเนียบขาวเรื่องดังอย่าง West Wing, Madam Secretary มาจนถึง Designated Survivor ใน Netflix เอง ทั้งหมดนำเสนอภาพของประธานาธิบดีและนักการเมืองสหรัฐในแง่มุมสว่าง สีขาว อาจจะมีสีเทาบ้าง แต่ก็ยังพูดได้เต็มปากว่าเป็นแนวเชิดชูทำเนียบขาว

แต่ House of Cards เป็นซีรีส์การเมืองทำเนียบขาวฟอร์มยักษ์ที่เล่นทุกอย่างตรงกันข้าม นักการเมืองเรื่องนี้มีความเรียล สมจริง ตัวเอกของเรื่องพูดได้เต็มปากเลยว่าไม่ใช่คนดีอะไรมาจากไหน แต่คนดูก็อาจจะยอมรับได้ว่า นี่แหละ ในความเป็นจริงนักการเมืองที่จะกุมอำนาจได้ ที่จะชนะได้ คงต้องเหี้ยมและเด็ดขาดขนาดนี้ แถมบางฉากยังแสดงถึงความเลือดเย็นยิ่งกว่าที่คาดคิดด้วยซ้ำ ซึ่งข้อเสียก็มีอยู่บ้างตรงที่ยิ่งดูไปก็ยิ่งรู้สึกว่า สองสามีภรรยาอันเดอร์วู้ดช่างเก่งและเหี้ยมจนแทบจะไม่มีใครสู้ได้มากขึ้นเรื่อยๆ

อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้ก็ไม่ได้เอาแต่นำเสนอด้านมืดของนักการเมืองอย่างเดียว ยังมีการนำเสนอด้านสว่างของวงการเมืองเอาไว้เหมือนกัน ตัวเรื่องก็ไม่ใช่แนวดาร์ก หรือเอาแต่คุยๆๆๆ จนน่าเบื่อ แต่บทเต็มไปด้วยชั้นเชิง บทพูดที่ฉลาด เป็นธรรมชาติ ดนตรีประกอบที่ชวนให้ลุ้นในหลายฉาก มุกตลกร้ายที่มีสอดแทรกตลอดเรื่อง อีกทั้งถ้าตอนไหนดูแล้วจะเข้าใจยาก แฟรงค์ก็จะหันมาพูดคุยและอธิบายให้คนดูเข้าใจเพิ่มขึ้นด้วย จึงไม่น่าแปลกใจว่าทำไมนี่จึงเป็นซีรีส์ระดับโลกที่สร้างต่อมาถึงจนถึง 6 ซีซัน

แต่น่าเสียดายที่ในซีซัน 6 บทของ เควิน สเปซีย์ ที่แสดงเป็นแฟรงค์ได้อย่างสุดยอดกลับต้องถูกถอดออก รวมถึงตัวเควินก็ถูกถอดจากการร่วมงานกับ Netflix ทั้งหมดด้วย หลังจากเหตุการณ์อื้อฉาวที่ เควิน สเปซีย์ ถูกฟ้องร้องโดย แอนโธนี่ แรปป์ นักแสดงหนุ่มที่เริ่มสร้างชื่อเสียงใน Star Trek: Discovery ออกมาฟ้องร้องว่าเมื่อตอนที่เขาอายุ 14 แล้วไปร่วมงานเลี้ยงของเควิน เขาเคยถูกอีกฝ่ายชวนไปห้องนอนเพื่อลวนลามทางเพศ แต่เขาก็หนีออกมาได้ แล้วยังมีกว่าอ 20 คนที่ออกมาฟ้องร้องแบบนี้ ในขณะที่ตัวเควินก็ต้องออกมายอมรับเรื่องที่ตัวเขาเป็นเกย์ ซึ่งเรื่องนี้ก็ทำให้เควินแทบจะไม่เหลือที่ในวงการฮอลลีวู้ดอีก

สำหรับความเสียหายที่ส่งผลต่อซีรีส์เรื่องนี้ คือการที่เขาถูกถอดออกก่อนหน้าที่จะฉายซีซัน 6 แม้ว่า โรบิน ไรท์ จะมีพลังการแสดงที่ช่วยแบกเรื่องราวไว้ในบทของแคลร์ แต่ต้องยอมรับว่าซีรีส์เรื่องนี้ที่ไม่มีแฟรงค์ออกมาก็ไม่เหมือนเดิมอีก ทำให้ยากที่จะอุดรอยโหว่ตรงนี้ได้ ซึ่งทาง Netflix เองก็คาดไว้แล้วจึงประกาศว่าซีซัน 6 จะเป็นซีซันสุดท้ายและมีเพียง 8 ตอนเท่านั้น

ในภาพรวมแล้ว นี่คือซีรีส์ชั้นเยี่ยมขึ้นหิ้ง เป็นผลงานคุณภาพของ Netflix อย่างน้อยในระดับติด TOP5 ของทางช่องเลยทีเดียว และเป็นหนึ่งในเรื่องที่แนะนำอันดับต้นๆของซีรีส์แนวการเมือง แต่สำหรับคนที่ไม่ชอบซีรีส์แนวการเมืองที่เน้นคุย เน้นดราม่า ไม่มีแอ็กชั่น อาจจะลองเปิดใจรับชมสัก 1-3 ตอนก็ได้ครับ เพราะความสนุกของซีรีส์เรื่องนี้มาตั้งแต่ตอนแรกๆแล้ว โดยช่วงสนุกที่สุดอยู่ในซีซัน 1-2 ส่วนในซีซัน 3-4 มีดรอปลงบ้างแต่ก็ยังอยู่ในระดับเยี่ยม แล้วก็พีคสุดๆอีกทีตอนซีซัน 5 ส่วนในซีซัน 6 แม้เรื่องราวจะดรอปไปพอสมควร แต่ก็ยังถือว่าปิดฉากเรื่องราวความอำมหิตของสองสามีภรรยาอันเดอร์วู้ดผู้ทะเยอทะยานได้ดีครับ

 

House of Cards Trailer เกมอำนาจ ตัวอย่าง

 

ติดตามบทความทั้งหมดของผู้เขียนคลิกที่นี่

Reference Website

https://www.imdb.com/title/tt1856010/

 

Leave a comment
The Devil’s Hour ช่วงเวลาปีศาจ ตี 3.33 นาที ที่เต็มไปด้วยเรื่องเซอร์ไพรส์เกินคาด!