รีวิว Open Your Eyes Netflix การทดลองในสถานบำบัดลึกลับที่อาจจะเกิดขึ้นจริงในอนาคต
Open Your Eyes
สรุป
ซีรีส์วัยรุ่นแนวทริลเลอร์ สืบสวน ดราม่า จิตวิทยา แฝงการจิกกัดสังคม และโปรเจ็กต์ที่อาจจะเกิดขึ้นได้จริงในอนาคต แต่เดินเรื่องน่าเบื่อไปหน่อย พล็อตโฮลเยอะ ต้องรอดูซีซันสองว่าจะอุดได้ไหม
Overall
6.5/10User Review
( vote)Pros
- พลอตเรื่องน่าสนใจ มีหักมุมช่วงท้าย
- มีโอกาสเกิดขึ้นได้จริงในอนาคต แล้วจะน่ากลัวมาก
- นางเอกแสดงได้ดี แบกเรื่องได้
Cons
- เดินเรื่องไม่ค่อยสนุกเท่าไหร่
- ตัวเอกดราม่าในความคิดตัวเองเยอะไปหน่อย
- มีพล็อตโฮลพอสมควร ต้องรอซีซันสอง
Open Your Eyes Netflix รีวิว ซีรีส์โปแลนด์ ที่บอกเล่าเรื่องราวของ หญิงสาวคนหนึ่งที่ตื่นขึ้นมาโดยไร้ซึ่งความทรงจำ แล้วพบว่าตัวเองอยู่ในสถานบำบัดที่เต็มไปด้วยปริศนา ภาพรวมของตัวซีรีส์มีลักษณะของเรื่องราวแนววัยรุ่นคนหนึ่งที่ต้องหาทางไขปริศนาและเอาชีวิตรอดในสถานการณ์และสถานที่ปิด เป็นดราม่าที่ผสมผสานแนวจิตวิทยา ทริลเลอร์ ปนเหนือจริงเล็กๆ เสียดายที่มีพลอตโฮลค่อนข้างมาก แต่ถือว่ามีพลอตเรื่องน่าสนใจและน่าติดตามว่าอะไรคือความจริงหรืออะไรคือเรื่องหลอกลวงกันแน่
ซีซันแรกมีทั้งหมด 6 ตอน ยังไม่จบ รับชมได้เลยใน Netflix
Open Your Eye Trailer ตัวอย่าง
Open Your Eyes เรื่องย่อ
จูเลีย หญิงสาววัยรุ่นที่จู่ๆ ก็ตื่นขึ้นมาในสถานบำบัดแห่งหนึ่ง เธอไม่มีความทรงจำในอดีต ไม่รู้ว่าตัวเองคือใคร สิ่งที่พอจะจำได้ก็คือเธอมีความสามารถในการเล่นเปียโนสูงมาก แต่นอกนั้นเป็นปริศนาดำมืด ทุกเช้าที่เธอตื่นมาก็จะมีเสียงที่คอยบอกว่าเธอคือใคร เคยทำอะไรมาก่อน และชอบอะไรบ้าง
แต่ในขณะเดียวกัน จูเลียก็เริ่มมีอาการฝันแปลกประหลาด เธอฝันเห็นผีผู้หญิงผมแดงคนหนึ่งเป็นประจำ แล้วเธอยังพบว่าแพทย์หญิงที่ดูแลเธอและคนป่วยคนอื่นก็มีความไม่น่าไว้วางใจ ในขณะที่เธอเองก็สานสัมพันธ์กับ อดัม ชายหนุ่มวัยไล่เลี่ยกัน ซึ่งก็มีความลับบางอย่างซ่อนอยู่เช่นกัน
นอกจากนี้ในสถานบำบัดก็จะมีกระบวนการที่เรียกว่าการให้โอกาส ที่จะให้ผู้ป่วยได้แสดงความสามารถของพวกเขา ไม่ว่าจะเป็นการ เต้น ร้องเพลง เล่นดนตรี และอื่นๆ ซึ่งหากใครทำได้ดีก็จะได้รับการพาตัวออกไปและทาบทามไปสู่โอกาสที่ดีกว่า แต่จูเลียกลับพบว่า สิ่งต่างๆ เหล่านั้นมีเบื้องหลังมากมายที่เกินคาดแฝงอยู่
Open Your Eyes รีวิว
ซีรีย์โปแลนด์ที่มีโปรดักชั่นพอใช้ได้ เป็นแนววัยรุ่น ดราม่าปนสืบสวนประสาทหลอน แฝงประเด็นการจิกกัดสังคมเอาไว้เหมือนกัน แต่ก่อนอื่นถ้าใครดูตัวอย่างด้านบน แล้วคิดว่าเป็นซีรีส์แนวไซไฟสุดล้ำ คงต้องผิดหวังหน่อยครับ เพราะแม้ว่าเรื่องนี้จะมีมุมไซไฟพอสมควร แต่ก็ไม่ได้เน้นเรื่องเทคโนโลยีที่ว่าให้ออกมาให้เราเห็นเท่าไรนัก แม้มันจะเป้นคีย์หลักของเรื่องเลยก็ตามที
สำหรับแนวการเล่าเรื่องก็จะมาแนวการจับตัวละครเอกมาอยู่ในสถานที่ปิด จำกัดการกระทำ และตัวละครรายรอบที่เต็มไปด้วยปริศนาไม่น่าไว้วางใจ ที่จริงแล้วการเดินเรื่องแนวทางนี้มีการทำเป็นซีรีส์และภาพยนตร์ค่อนข้างเยอะ โดยเฉพาะฝั่งซีรีส์ เพราะตลอดทั้งเรื่องสามารถเซ็ตกลุ่มตัวละครให้อยู่ในสถานที่หลักแห่งเดียวได้ ซึ่งเรื่องนี้ก็ทำเช่นนั้น แล้วยังใช้วิธีการเล่าเรื่องผ่านสายตาของนางเอกอย่างจูเลียเป็นหลัก ตรงนี้ทำให้เรื่องมาแนวทริลเลอร์ ต้องลุ้นและระแวงตามนางเอกว่าใครบ้างที่ไว้ใจได้ แล้วใครบ้างที่ไว้ใจไม่ได้ แล้วควรจะหาทางออกยังไง
ตัวซีรีส์ยังมาในแนววัยรุ่นที่ต้องหาทางต่อสู้กับระบบอะไรสักอย่าง ตรงนี้ช่วงหลังซีรีส์ฝั่งตะวันตกชอบทำกัน โดยเฉพาะทางยุโรป แล้วยังมีการแอบจิกกัดประเด็นทางสังคมเอาไว้เหมือนกันในแง่ของการเลือกเส้นทางชีวิตของคนรุ่นใหม่ อาจเปรียบเสมือนกับเสียงที่ถูกเปิดให้จูเลียฟังเป็นประจำทุกเช้าว่า เธอคือใคร ทำอะไรได้บ้าง ชอบอะไรบ้าง ตรงนี้ถ้าเราดูให้ลึก ซีรีส์เสมือนพยายามที่จะวิพากษ์สังคมและผู้ใหญ่ที่มักกำหนดเส้นทางชีวิตให้กับคนรุ่นใหม่โดยที่พวกเขาไม่ได้มีโอกาสได้เลือก แล้วยังมีสิ่งที่เรียกว่ากระบวนการให้โอกาส ซึ่งแทบจะไม่แตกต่างจาก “การสอบ” เพื่อจะเข้าโรงเรียนดีๆหรือการเข้าร่วมงานคัดตัวอะไรสักอย่างซึ่งมีคณะกรรมกรรไม่กี่คนที่เป็นคนคอยตัดสิน หากทำได้เข้าตาก็จะผ่าน ได้รับการยอมรับ ได้เข้าสู่วงการนั้นๆ แต่ถ้าไม่ได้ก็ตกและถูกตัดออกไป ซึ่งถือว่าตัวซีรีส์จงใจแฝงประเด็นนี้เข้ามาในเนื้อเรื่องได้อย่างน่าสนใจมาก
ด้านการแสดงนี่ต้องให้เครดิตนักแสดงนำอย่าง Sara Celler-Jezierska ในบทจูเลีย พอสมควรเลย เพราะเธอเป็นตัวละครหลักในการเดินเรื่องที่เรียกว่าคนดูแทบจะติดตามชีวิตของเธอเลยก็ว่าได้ ดังนั้นถ้าเล่นได้ไม่ดี ไม่ชวนให้ลุ้น คนดูก็จะเบื่อเอาได้ง่ายๆสำหรับซีรีส์แนวทริลเลอร์ในสถานที่ปิดซึ่งแทบจะไม่มีฉากแอ็กชั่นหรือฉากสืบสวนแบบสลับซับซ้อนอะไรมากมาย
แต่จุดด้อยของซีรีส์ก็มีเยอะ อย่างแรกคือการเดินเรื่องที่ค่อนข้างช้า อืด น่าเบื่อ ยังดีว่าจำนวนตอนในซีซันแรกมีแค่ 6 ตอนเท่านั้น แต่เอาจริงๆ การเดินเรื่องสามารถที่จะทำให้เร็วขึ้นได้กว่านี้ด้วยซ้ำ เพราะการที่จูเลียต้องค้นหาปริศนาความลับของสถานบำบัดและโครงการแปลกประหลาดพิสดารที่เราคนดูจะค่อยๆ ได้รับรู้เพิ่มขึ้นนั้น เอาเข้าจริงก็ไม่จำเป็นที่จะต้องใช้เวลาหลายตอนมากนัก การลุกขึ้นมาต่อสู้หาทางหนีของนางเอกและคนอื่นเองก็ไม่ได้มีแผนการซับซ้อนอะไร แต่ซีรีส์จะไปใช้เวลากับเรื่องปัญหาภายในจิตใจของนางเอกและ “ความหลอน” ของผีสาวที่นางเอกจะเจออยู่บ่อยครั้งว่าตกลงมันคืออะไรกันแน่ เป็นผีจริงหรือสิ่งที่นางเอกหลอนไปเอง หรือเป็นความทรงจำของนาง ตัวเรื่องยังมีพลอตโฮลพอสมควร ถ้าหากคิดตามแล้วจะมีจุดไม่สมเหตุผลอยู่ไม่น้อย คงต้องรอดูว่าในซีซันสองจะสามารถอธิบายจุดเหล่านี้ได้หรือไม่ เพราะปริศนาในเรื่องก็ยังไม่คลี่คลายดีเลย
ถึงอย่างนั้นช่วงบทสรุปก็ถือว่าทำได้หักมุม น่าสนใจ โปรเจ็กต์ในเรื่องที่ถูกเฉลยออกมาก็อาจจะเป็นสิ่งที่สามารถเกิดขึ้นได้จริงในอนาคต แล้วน่าจะสามารถทำได้จริงๆ ซะด้วย ซึ่งหากทำได้จริงขึ้นมาก็ถือว่าเป็นอะไรที่น่ากลัวมากด้วย
สปอยความลับในเรื่อง
โปรเจคของสถานบำบัด คือการทดลองครั้งใหญ่ขององค์กรปริศนาที่ในเรื่องก็ยังไม่ได้เฉลยออกมา ว่าพวกเขายิ่งใหญ่แค่ไหน แต่หลักๆคือเป็นโปรเจคทดลองดึงเอาพรสวรรค์และความสามารถของผู้คนออกมาแล้วส่งผ่านไปยังอีกคนแทนที่ ซึ่งโปรเจคในเรื่องบรรลุผลได้จาก จูเลีย ซึ่งเป็นนักเปียโนอัจฉริยะ ก็มาเสียความสามารถของตนเองไป แล้วก็ถูกถ่ายทอดไปให้กับ อดัม ซึ่งในเรื่องตอนนี้ยังไม่ได้เฉลยที่มาที่ไปทั้งหมด
อีกทั้งจากการเฉลยปริศนาในเรื่องก็น่าจะทำให้สเกลของเรื่องมันขยายออกไปมาก จนเรียกว่าซีซันสองคงจะใช้การเดินเรื่องแบบเดิมได้ยากแล้ว ต้องมาดูว่าทิศทางของซีรีส์เรื่องนี้จะเป็นยังไง เพราะก็มีโอกาสที่จะออกทะเลสูงมากครับ
ติดตามบทความทั้งหมดของผู้เขียนคลิกที่นี่
Reference Website