playinone.com
รีวิว บทความ หนัง ซีรีส์ Netflix สตรีมมิ่งทุกระบบ

รีวิว Mank (Netflix) หนังเล่าเรื่องของคนเขียนบท Citizen Kane และคารวะฮอลลีวูดยุค 1930

สรุป

หนังออสการ์สาขากำกับศิลป์ยอดเยี่ยม สร้างมาเพื่อคารวะเหล่าคนที่อยู่เบื้องหลังวงการฮอลลีวูดในยุค 1930 ซึ่งการแสดงของ แกรี่ โอลด์แมน เป็นอะไรที่ยอดเยี่ยมเอามากๆ เรียกได้ว่ามีลุ้นรางวัลใหญ่สาขานักแสดงในปีนี้ได้เลย แต่นี่เป็นหนังเฉพาะกลุ่มของคนในวงการฮอลลีวูด ตัวเรื่องเข้าใจยากมากสำหรับคนทั่วไป

Overall
7.5/10
7.5/10
Sending
User Review
5 (2 votes)

Pros

  • การแสดงขั้นเทพของ แกรี่ โอลแมนด์
  • นักแสดงส่วนใหญ่ทำได้ดีมาก
  • ไดอาล็อคของหนังแฝงนัยยะมากมาย ราวกับกำลังชมละครเวทีชั้นเลิศ
  • เทคนิคการเล่าสลับไปมาของหนัง เป็นการคารวะต่อหนัง Citizen Kane
  • องค์ประกอบภาพและงานกำกับดีเยี่ยมมาก

Cons

  • เป็นหนังเฉพาะกลุ่ม ตัวเรื่องเข้าใจยากมากๆ ถึงมากที่สุด
  • การปูเรื่องไปสู่ปมขัดแย้งของตัวละครดูเข้าใจยากเกินไป

ADBRO

Mank Netflix รีวิว หนังเล่าเรื่องราวของ เฮอร์มัน แมงคลีวิทซ์ หรือที่ใครๆเรียกกันว่า แมงค์ ผู้เขียนบทร่วมให้กับภาพยนตร์คลาสสิก Citizen Kane ซึ่งเป็นภาพยนตร์คลาสสิกขึ้นหิ้ง กำกับโดย ออร์สัน เวลส์ แล้วก็เคยได้รางวัลออสการ์ในสาขาบทภาพยนตร์ในครั้งอดีต

โดยตัวหนังจะตีแผ่เหตุการณ์เบื้องหลังที่หลายคนไม่เคยรู้มาก่อน เกี่ยวกับความขัดแย้งต่างๆระหว่างการเขียนบทหนังเรื่องนี้ รวมถึงแรงบันดาลใจที่ทำให้ แมงค์ เขียนบทเรื่องนี้ออกมาได้สำเร็จ ว่ามีเค้าโครงตัวละครในเรื่องมาจากกผู้คนจริงๆในตอนนั้นยังไงบ้าง นอกจากนี้ตัวหนังยังถูกสร้างมาเพื่อคารวะเหล่าคนที่อยู่เบื้องหลังวงการฮอลลีวูดในยุคทองครั้งอดีต พร้อมกับการแสดงชั้นครูของ แกรี่ โอลด์แมน ที่ราวกับกำลังชมละครเชกสเปียร์ชั้นเลิศสักเรื่องหนึ่ง

สำหรับเรื่องนี้เป็นผลงานกำกับของผู้กำกับชื่อดังอย่าง เดวิด ฟินเชอร์ ที่เคยมีผลงานดังๆอย่าง Seven, Fight Club แต่ในส่วนของบทหนังถูกเขียนโดย แจ็ค ฟินเชอร์ บิดาที่ล่วงลับไปแล้วของเขา

หนังยังได้เข้าชิงออสการ์รวมถึงได้รางวัลในสาขากำกับศิลป์ยอดเยี่ยมประจำปี 2020 ด้วย
 Mank (2020) on IMDb

ตัวอย่าง Mank Trailer

Mank เรื่องย่อ

เรื่องราวในภาพยนตร์ จะเป็นการพาคนดูย้อนกลับไปในฮอลลีวูดยุค 1930s ซึ่งถือว่าเป็นช่วงเวลา ยุคทอง ที่สุดยุคหนึ่ง รวมถึงมีการสร้างภาพยนตร์คลาสสิกชั้นเยี่ยม และแจ้งเกิดให้นักแสดงดังจำนวนมาก

ในเรื่องนี้จะบอกเล่าชีวประวัติบางส่วนของ เฮอร์มัน แมงคลีวิทซ์ (รับบทโดย แกรี่โอลด์แมน) หรือที่ใครๆเรียกเขาว่า “แมงค์” นักเขียนบทหนังที่มีความสามารถ แต่เป็นพวกติดสุราเรื้อรัง และมีปัญหาบางอย่างในการทำงาน โดยเรื่องราวจะเล่าเกี่ยวกับช่วงเวลาที่เขาต้องเขียนบทให้กับภาพยนตร์เรื่อง Citizen Kane ซึ่งจะกลายเป็นหนึ่งในภาพยนตร์คลาสสิกที่สุดเรื่องหนึ่ง

แต่ในช่วงเวลาที่ต้องเขียนบทหนังเรื่องนี้ แมงค์มีปัญหาติดสุราอย่างรุนแรง อีกทั้งเขายังเจออุบัติเหตุรถยนต์ที่ทำให้ตัวเองได้รับบาดเจ็บด้วย ทำให้ ออร์สัน เวลส์ ผู้สร้างหนังเรื่องนี้ต้องใช้แผนจับเขามาพักฟื้นไว้ที่บ้านหลังหนึ่งนอกเมือง แล้วให้คนดูแลคือ ริต้า อเล็กซานเดอร์ (รับบทโดย ลิลี่ โคลินส์) แล้วในระหว่างนั้น แมงค์ก็หวนนึกย้อนถึงช่วงเวลาที่เขายังรุ่งโรจน์ในอาชีพนักเขียน และมิตรภาพที่มีกับ แมเรียน เดวี่ส์ (อมานด้า เซย์ฟรีด) นักแสดงสาวชื่อดังที่เคยรุ่งเรืองอยู่ในสังกัดของ MGM สตูดิโอภาพยนตร์ยักษ์ใหญ่ในสมัยนั้น

สำหรับการ Flashback นึกย้อนของแมงค์ ก็จะเล่าเรื่องราวปัญหาและความขัดแย้งระหว่างเขาและผู้มีอำนาจในวงการ รวมถึงแรงบันดาลใจจากเรื่องราวจริงๆที่ทำให้เขาหยิบเอาบุคคล ลักษณะนิสัยตัวละคร และเหตุการณ์เลือกตั้งในช่วงเวลานั้น มาเป็นโครงเรื่องให้กับ Citizen Kane

Mank รีวิว (ไม่สปอย)

ก่อนอื่นต้องกล่าวว่านี่ เป็นหนังขาวดำที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อความรำลึกและคารวะเหล่าผู้อยู่เบื้องหลังงานสร้างภาพยนตร์ของฮอลลีวูด ซึ่งช่วงหลังดูเหมือนว่าเทรนด์สร้างหนังแนวนี้จะเริ่มมีมากขึ้นเรื่อยๆ และก็เป็นเรื่องที่ดีและน่าสนใจด้วย เพราะมันคือภาพยนตร์แนว Nostalgia ที่จะช่วยให้คนรุ่นใหม่ๆเห็นภาพรวมของยุคสมัยในหนัง และที่สำคัญคือจะเป็นหนังที่มีฐานคนดูเป็นคนในวงการหรือคนที่เคยผ่านเหตุการณ์บางอย่างจากยุคสมัยนั้นมาบ้าง

ซึ่งหนังเรื่องนี้ก็เป็นหนึ่งในนั้น โดยตัวหนังจงใจที่จะสร้างเป็นขาวดำ เพื่อสร้างอารมณ์และบรรยากาศให้คนดูให้เสมือนอยู่ในยุค 1930-1940 จริงๆ นอกจากนี้ตัวหนังยังใช้ดนตรีประกอบจากสไตล์ดนตรีในยุคนั้นมาเป็น OST เพลงประกอบเรื่องด้วย เพิ่มอารมณ์ของเรื่องให้เข้าไปยุคนั้นเพิ่มขึ้นอีก

ก่อนอื่นที่ต้องชื่นชมเลยก็คือ นักแสดง โดยเฉพาะนักแสดงนำอย่าง แกรี่ โอลด์แมน ที่มารับบทแมงค์ แกทำได้อยู่กับบทนี้จริงๆ เรียกว่าหนังทั้งเรื่องไม่น่าเบื่อหรือดูจืดชืทั้งหมดเป็นเพราะพลังการแสดงของเจ้าตัวล้วนๆเลย รวมถึงการที่ได้ อมานด้า เซย์ฟรีด สาวน้อยที่แจ้งเกิดมาจากเรื่อง Les Miserabe มาร่วมแสดงในเรื่องนี้ ก็ถือว่ามีส่วนช่วยให้หนังไม่แห้งแล้งด้วย เรียกได้ว่าออร่าความสวยและเสน่ห์ของเธอมันเด่นทะลุจอออกมาเลย ถึงแม้นี่จะเป็นหนังขาวดำก็ตาม

อีกจุดที่เด่นก็คือ เทคนิคการเล่าเรื่อง สำหรับคนที่ไม่เคยรู้จักเรื่อง Citizen Kane มาก่อน อาจจะต้องเข้าใจสักนิดว่า ภาพยนตร์เรื่องนี้ถือว่าเป็นหนังเรื่องแรกๆในวงการฮอลลีวูดที่ใช้วิธีการเล่าเรื่องแบบสลับอดีตปัจจุบัน หรือที่เราเรียกกันว่า การเล่าย้อน Flashback อดีตของตัวละคร เพื่อเล่าถึงสิ่งที่ตัวละครเผชิญมา แรงจูงใจ แรงผลักดัน ปมปัญหาจากในอดีต ที่นำไปสู่ปัจจุบันในเรื่อง ซึ่งเทคนิคนี้ถือว่าเป็นเรื่องปกติสำหรับหนัง ซีรีส์ อนิเมะ ในยุคนี้ แต่เมื่อยุค 1930 มันคือเรื่องใหม่มากๆ ในวงการ ซึ่งเทคนิกที่ว่านี้ก็ถูกนำมาใช้ในตัวหนังด้วยตลอดทั้งเรื่อง ตรงนี้เสมือนเป็นการ “คารวะ” ต่อตัวหนัง Citizen Kane ไปในตัวด้วย เรียกได้ว่าหนังมีชั้นเชิงในการเล่าเรื่องที่เป็นศิลปะเอามากๆ ซึ่งก็น่าจะเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ส่งให้หนังเรื่องนี้คว้าออสการ์สาขากำกับศิลป์ยอดเยี่ยมมาครองด้วย

อีกจุดที่ถือว่าทำได้ดีเยี่ยมมาก แต่กว่าคนดูจะได้เห็นก็เป็นช่วงท้ายเรื่องไปแล้ว นั่นคือ การเขียนบทที่เสมือนกับเรากำลังชมละครเวทีของเช็คสเปียร์ บทพูด ไดอาล็อค ที่ต่อเนื่องยาวเรื่อยๆของตัวละคร และการตอบโต้ไปมา พร้อมกับบทพูดที่เต็มไปด้วยอุปมาอุปไมยเกี่ยวกับวิถีชีวิตและวัฒนธรรมตะวันตก สังคมในฮอลลีวูด ไปจนถึงการเมือง สังคม เศรษฐกิจ ซึ่งถ้าดูเข้าใจก็จะเป็นอะไรที่เพลินเอามากๆ แต่ถ้าไม่เข้าใจ บอกได้เลยว่าจะงงครับ ซึ่งตรงนี้เองเป็นทั้งจุดเด่นและจุดด้อยของหนังในเวลาเดียวกัน คือถ้าเป็นคนที่อยู่ในวงการฮอลลีวูดหรือชื่นชอบประวัติศาสตร์ภาพยนตร์ และวรรณกรรมตะวันตก จะได้เห็นชื่อต่างๆถูกส่งขึ้นมาในไดอาล็อคระหว่างเรื่องราวเต็มไปหมด แต่ถ้าไม่รู้จักมาก่อน นี่จะเป็นหนังที่สุดงงเอามากๆว่า มันคุยอะไรกัน

ในหนังยังแอบเสียดสีสังคมของฮอลลีวูดยุคนั้น การแอบเหยียดและข่มเพศหญิงอยู่กลายๆในสังคมที่ชายโคตรเป็นใหญ่ แต่ก็น่าเสียดายที่ประเด็นนี้ใส่มาแล้วไม่ได้ขยี้อะไรต่อเท่าไรนัก นอกจากนี้ยังมีการเอาเหตุการณ์เลือกตั้งท้องถิ่นที่สำคัญในยุค 1930s มาบอกเล่า ซึ่งตัวหนังพยายามนำเสนอว่า นี่คือแรงบันดาลใจที่ทำให้ แมงค์ เอามาเขียนบทหนังให้กับ Citizen Kane รวมถึงบุคคลที่มีอยู่จริงในช่วงเวลาเหล่านั้นด้วย

ในภาพรวมแล้ว นี่คือหนังที่สร้างมาเพื่อคารวะเหล่าคนที่อยู่เบื้องหลังวงการฮอลลีวูดในยุคทอง ซึ่งการแสดงของ แกรี่ โอลด์แมน เป็นอะไรที่ยอดเยี่ยมเอามากๆ รวมถึงงานกำกับศิลป์ ซึ่งก็ส่งผลให้คว้าออสการ์ในสาขานี้มาครองได้ เป็นงานชั้นเยี่ยมที่ควรรับชมใน Netflix ครับ

ติดตามบทความทั้งหมดของผู้เขียนคลิกที่นี่

Reference Website

https://www.imdb.com/title/tt10618286/

The Devil’s Hour ช่วงเวลาปีศาจ ตี 3.33 นาที ที่เต็มไปด้วยเรื่องเซอร์ไพรส์เกินคาด!