รีวิว Oktoberfest Netflix สงครามเบียร์ล้างเลือด ซีรีส์เยอรมนีที่เค้าโครงจากเรื่องจริง
Oktoberfest
สรุป
มินิซีรีส์เยอรมัน เล่าด้านมืดของงานอ็อกโทเบอร์เฟสต์ เทศกาลเบียร์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเยอรมนี อ้างว่ามีเค้าโครงจากเรื่องจริง เกี่ยวกับการขัดแย้งทางธุรกิจที่นำไปสู่การฆาตกรรม
Overall
6.5/10User Review
( vote)Pros
- เล่าเรื่องเร็ว กระชับ
- การแคสติ้ง โปรดักชั่น คุณภาพดีมาก
- การเซตบรรยากาศของเรื่องทำได้ดี เหมือนอยู่ในยุคนั้น
- ตัวละครเป็นสีเทาทั้งเรื่อง ไม่มีใครเป็นคนดีพร้อม
Cons
- เดินเรื่องเร็วจนอาจจะไม่อินกับตัวละครเท่าไหร่
- จบแบบค้างคา ซึ่งหากไม่สร้างซีซันสองต่อจะน่าเสียดายมาก
- การเล่าเรื่องช่วงแรกกระจัดกระจายเกินไปหน่อย
Oktoberfest : Beer & Blood Netflix รีวิว มินิซีรีส์จากเยอรมนี 6 ตอนจบ สงครามเบียร์ล้างเลือด เล่าเรื่องราวกว่าจะมาเป็นเทศกาล อ็อกโทเบอร์เฟสต์ เทศกาลเบียร์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกที่จัดขึ้นทุกปีในเมืองมิวนิค เยอรมนี
ซีรีส์สร้างโดยมีเค้าโครงจากเรื่องจริงในต้นศตวรรษ 1900 เล่าเบื้องหลังของเทศกาลเบียร์นี้ว่ามีเรื่องดำมืดอะไรซ่อนอยู่ ทั้งความทะเยอทะยานทางธุรกิจ การวางแผนฆาตกรรม
ตัวอย่าง Oktoberfest Trailer Netflix
อ็อกโทเบอร์เฟสต์ เรื่องย่อ
อ็อกโทเบอร์เฟสต์ ได้ชื่อว่าเป็น เทศกาลเบียร์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก ที่จัดขึ้นที่เมืองมิวนิค ประเทศเยอรมนี ในช่วงปลายเดือนกันยายนจนถึงต้นเดือนตุลาคม เป็นประจำทุกปี โดยเริ่มจัดงานครั้งแรกตั้งแต่ปี ค.ศ. 1810
สำหรับเรื่องราว จับความในปี ค.ศ. 1900 เมื่อนักธุรกิจผู้ทะเยอทะยานอย่าง เคิร์ท ฟรังก์ ได้คิดการใหญ่ที่จะเปลี่ยนแปลงโฉมหน้าของเทศกาลเบียร์นี้ไปตลอดกาล จากเดิมที่เป็นงานที่จัดร้านขายเบียร์และบูธขายเบียร์ต่างๆ เขาการวางแผนสร้างเต็นท์ขนาดใหญ่เพื่อรองรับบูทขายเบียร์ต่างๆให้มารวมกันภายใต้เต็นท์ใหญ่หลังเดียว แล้วยกระดับงานเทศกาลขึ้นมาอีกระดับ นอกจากนี้เขายังวางแผนซื้อที่ดินและกิจการร้านเบียร์ในพื้นที่นั้นเข้ามาด้วย เคิร์ท ยังมีลูกสาวคนสวยคือ คลาร่า ที่เดินทางมาเพื่ออยู่ที่มิวนิคด้วย
ขณะเดียวกัน ไดเบล ที่เป็นร้านเบียร์เก่าแก่ของตระกูลโฮลฟิงเกอร์ ก็กำลังหาทางแก้ปัญหาการขายเบียร์ โดยลูกชายคนโตคือ โรมัน เป็นคนหนุ่มทะเยอทะยานอารมณ์ร้อน ต้องการเปลี่ยนแปลงการผลิตเบียร์จากลังมาเป็นขวดเพื่อหาทางส่งออกบ้าง เขาจึงขัดแย้งกับพ่อแม่ตนเอง ในขณะเดียวกัน คลาร่า และ โรมัน ก็ได้บังเอิญพบกันแล้วกลายเป็นความรักร้อนแรงของหนุ่มสาว พวกเขาจึงกลายเป็นคู่รักในระหว่างที่สองครอบครัวขัดแย้งเรื่องธุรกิจกันอย่างรุนแรง รวมถึงการฆาตกรรมเพื่อแย่งชิงอำนาจทางธุรกิจเบียร์
Oktoberfest รีวิว
ซีรีส์จากเยอรมนีเรื่องนี้ มีลักษณเฉพาะตัวพอสมควร แต่ถ้าให้บอกเล่า ก็เสมือนกับเป็นการนำสไตล์เรื่องแบบ Peaky Blinder ที่เป็นแนวธุรกิจครอบครัวในแบบวางแผนหักเหลี่ยมชิงอำนาจ การฆาตกรรม การใช้กำลังเพื่อให้ได้ครอบครองธุรกิจและความมั่งคั่ง แล้วก็นำมาผสมผสานกับเรื่องแนว Romeo & Juliet ที่ลูกชายและลูกสาวของสองฝั่งดันมารักกันซะงั้น
นอกจากนี้ตัวเรื่องยังมีความดิบ สะท้อนความดำมืดของมนุษย์ในแบบฉบับซีรีส์เยอรมนี นำเสนอโลกที่โหดร้าย ไม่มีพื้นที่ให้คนอ่อนแอ ดังนั้นหากคนอ่อนแอจะลืมตาอ้าปากได้ ก็ต้องลุกขึ้นมาต่อสู้
จุดที่โดดเด่นมากของซีรีส์ก็คือ ตัวละครที่เป็นสีเทาทั้งเรื่อง ไม่มีใครที่สามารถเรียกตัวเองว่าเป็นคนดีพร้อมได้เลย ทุกคนมีด้านสว่างและด้านมืดในตัวเอง แม้แต่ตัวละครที่ดูแล้วเป็นคนดีก็พร้อมจะลุกขึ้นมาทำเรื่องโหดๆได้ถ้าจำเป็น ซึ่งก็สอดคล้องกับยุคสมัยที่คนจำเป็นต้องแข็งแกร่ง ไม่เช่นนั้นก็จะถูกกดขี่ ถูกเอาเปรียบ ในแง่หนึ่ง นี่จึงเป็นเรื่องที่บอกเราว่า คนจะอยู่รอดได้นั้นบางครั้งก็จำเป็นต้องโหด ต้องใช้ทั้งสมองและกำลังเพื่อให้ได้มาเพื่อสิ่งที่ต้องการ
ในแง่การเล่าเรื่อง เนื่องจากซีรีส์มีแค่ 6 ตอนจบ การเล่าเรื่องจึงกระชับ พาเข้าประเด็นหลักรวดเร็ว จนอาจจะทำให้เราไม่รู้สึกอินกับตัวละครมากนัก เพราะใช้เวลาปูเรื่องน้อย แต่ก็ถือว่าทำได้ดีในระดับหนึ่งเท่าที่เรื่องจะอำนวยแล้ว
ด้านนักแสดง แคสติ้งมาได้เข้ากับบทค่อนข้างดี โดยเฉพาะ เคิร์ท ฟรังก์ นักธุรกิจผู้ทะเยอทะยาน ที่เป็นทั้งตัวร้ายและตัวเอกคนหนึ่งของเรื่อง กับ ลูกสาวอย่าง คลาร่า ที่หน้าตาสวยสะดุดตา และแสดงได้น่าน่าเชื่อว่า เธอเป็นเด็กสาวแรกแย้มที่ไวไฟ แต่ก็มีพัฒนาการทางตัวละครสูง เมื่อเธอเองก็มีสติปัญญาและเรียนรู้ที่จะใช้หาทางช่วยเหลือคนรักของเธอให้สามารถดำเนินกิจการต่อได้ ส่วนนักแสดงในบทโรมัน พระเอกของเรื่อง ก็ทำได้ดีเช่นกัน
มีข้อเสียอีกอย่างคือ การเล่าเรื่องในช่วงกลางๆกระจัดกระจายมากเกินไปนิด เพราะเอาเข้าจริงๆตัวเรื่องไม่ได้มีอะไรมากไปกว่าการต่อสู้แย่งชิงสิทธิประมูลเปิดร้านเบียร์ในงานเทศกาล และการฆาตกรรมที่ส่งผลทำให้ทุกอย่างบานปลาย แต่ตัวเรื่องพยายามที่จะบอกเล่าให้ครอบคลุมไปถึงกลุ่ม LGBT ในสังคมเยอรมนีช่วงนั้นด้วย ซึ่งตรงนี้เป็นแอร์ไทม์ที่ไม่ค่อยเกี่ยวข้องกับเรื่องมากนัก
สำหรับเนื้อหาที่อ้างว่า มีเค้าโครงมาจากเรื่องจริงนั้นก็ไม่แน่ชัดนักว่าแท้จริงแล้วการปรับตัวของเทศกาลเบียร์นี้มีเรื่องดำมืด การฆาตกรรมและแย่งชิงผลประโยชน์กันขนาดที่ซีรีส์นำเสนอหรือไม่ ตัวซีรีส์ยังนำเสนอประเด็นการลุกขึ้นมาสู้ของคนตัวเล็กๆในชุมชนและสังคมร้านค้าเบียร์ บรรดาสาวเสิร์ฟ เป็นภาพสะท้อนบอกเล่าการลุกขึ้นสู้ของคนธรรมดาในสังคมได้ดี
ส่วนตอนจบ เป็นการจบแบบค้างคาที่ก็สามารถสร้างซีซันสองต่อได้ หรือจะไม่สร้างต่อก็ยังได้ คือให้จบไปแบบนั้นเป็นปลายเปิดเอาเองก็ได้ว่า แล้วตัวละครจะทำยังไงกันต่อไปเมื่อรู้ตัวคนร้ายที่แท้จริงแล้ว
ติดตามบทความทั้งหมดของผู้เขียนคลิกที่นี่
Reference