รีวิว ซีรีส์ SEE Apple TV+ เจสัน โมมัว แสดงนำ ในโลกอนาคตที่มนุษย์ทุกคนตาบอด กับการยำรวมพล็อตไว้เยอะมาก
รีวิว ซีรีส์ SEE (Apple TV)
สรุป
โดดเด่นที่บรรยากาศของโลกในอนาคตแนวดิสโทเปีย การเซตติ้งสังคมและวิถีชีวิตแบบใหม่ที่สุดแนว การแสดงแนวดิบเถื่อนที่คุ้นเคยจาก เจสัน โมมัว และฉากแอ็คชั่นที่คาดไม่ถึง แต่เรื่องราวดูไม่สมเหตุสมผลเท่าไหร่ และมีการยำรวมมิตรพล็อตจากหลายเรื่องทั้งนิยายและหนัง
Overall
7.5/10User Review
( votes)Pros
- บรรยากาศโลกอนาคตแบบดิสโทเปียที่สุดแนว มีมุมให้เล่นเยอะ น่าสนใจ
- แฟน ๆ ของ เจสัน โมมัว ที่ชอบแนวการแสดงสไตล์ นักรบร่างสูงใหญ่ ดิบเถื่อน รับรองว่าถูกใจ
- การครีเอทฉากแอ็คชั่น ฉากต่อสู้ที่เข้าท่าดี
- มีการยำพล็อตของนิยายและหนังแนวไซไฟไว้เยอะมาก ไปจนถึงไอ้บอดซามูไร ใครชอบแนวยำรวมมิตรน่าจะถูกใจ
Cons
- ความไม่สมเหตุสมผลของเรื่องมีเต็มไปหมด
- แรงจูงใจกับพฤติกรรมของตัวละครดูแปลก ๆ โดยเฉพาะฝั่งตัวร้าย
- การเดินเรื่องใน 2 ตอนแรกอาจจะทำให้หลายคนเลิกดู ซึ่งความสนุกจริง ๆ จะมาตอนที่ 3
- มีการยำพล็อตไว้เยอะมาก ซึ่งถ้าใครที่อ่านนิยายหรือดูหนังมามากแล้วไม่ชอบการยำรวมมิตร อาจจะไม่ชอบเอาเลย
รีวิว SEE Apple TV+ ซึรีส์ในโลกอนาคตแนวดิสโทเปีย ซึ่งมนุษย์ทุกคนเสียการมองเห็น (ตาบอดนั่นเอง) นำแสดงโดย เจสัน โมมัว (Jason Momoa) ซึ่งสามารถรับชมทางออนไลน์ได้ ผ่านเว็บไซต์ คลิกที่นี่ ด้วยอุปกรณ์ที่ลงทะเบียนด้วย Apple ID ไม่ว่าจะเป็นบน iPhone iPad หรือทาง Smart TV ก็ได้ครับ
หลังจาก Apple TV+ เปิดให้บริการ หนึ่งในซีรีส์ที่ถือว่าเป็นจุดขายและหัวหอกแรก ๆ ที่ถูกปล่อยออกมาก็คือเรื่อง See ซึ่งรับบทโดย เจสัน โมมัว (Jason Momoa) นักแสดงชื่อดังจากบทบาทในเรื่อง Game of Throne และ Aquaman
สำหรับเรื่องนี้ถือว่าเป็นซีรีส์แนว “ดิสโทเปีย” หรือเรื่องแนวโลกอนาคตที่ล่มสลาย มนุษย์ต้องสร้างสังคมและวิถีชีวิตแบบใหม่ขึ้นมา ซึ่งนี่เป็นพล็อตเรื่องแนวที่ได้รับความนิยมมากมานานแล้ว (เช่น Madmax, The hunger Game, หมัดเทพเจ้าดาวเหนือ)
เรื่องนี้ก็เซตติ้งโลกอนาคตขึ้นมาใหม่เหมือนกันครับ มาลองดูเรื่องย่อกันสักหน่อย
เรื่องย่อ
ในโลกอนาคตอันไกลโพ้น เมื่ออารยธรรมล่มสลาย เผ่าพันธุ์มนุษยชาติได้สูญเสียพลังแห่งการมองเห็นโดยไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัด ถึงจะเป็นเด็กเกิดใหม่ แต่ก็จะตาบอดตั้งแต่แรกเกิดทันที แต่เพื่อความอยู่รอด ทำให้มนุษย์ก็มีการปรับตัวเองตามธรรมชาติ เมื่อสายตามองไม่เห็น ทำให้ประสาทสัมผัสต่าง ๆ ถูกพัฒนาขึ้น เช่น การฟัง การสัมผัส การดมกลิ่น ทำให้มนุษย์ใช้ชีวิตอยู่รอดมาได้ เกิดมีศาสนาใหม่ ความเชื่อใหม่ วิถีชีวิตใหม่ ๆ ที่ดูแปลกประหลาดพิสดารเข้ามาแทน
แต่เรื่องวุ่นวายก็เกิดขึ้น เมื่อมีเด็กคู่แฝดเกิดใหม่คู่หนึ่งที่สามารถมองเห็นได้ ซึ่งก็ทำให้ บาบาวอส (นำแสดงโดย เจสัน โมมัว) ผู้นำเผ่าเอลคันดี ซึ่งเป็นสามีของ มักซ์ราห์ หญิงสาวผู้ให้กำเนิดเด็กคู่แฝด แม้ว่าที่จริงแล้วเขาจะไม่ใช่พ่อแท้ๆของเด็กคู่แฝดก็ตาม แต่บาบาวอสก็ตัดสินใจพาพวกเขาหลบหนีการตามล่าจากราชินีเคน ผู้ต้องการชิงตัวเด็กคู่แฝดมา รวมถึงความกังวลว่า การเกิดของเด็กคู่แฝดที่มองเห็นได้ จะทำให้อำนาจและวิถีเดิมที่เคยมีมาทั้งหมดต้องพังทลายไป
แล้วมันน่าดูไหม
คือจากเรื่องย่อ เราอาจจะรู้สึกว่า เออ พล็อตเรื่องก็คือโลกแนว ดิสโทเปีย ซึ่งหมายถึงโลกอนาคตที่อารยธรรมล่มสลาย เป็นพล็อตแนวที่นิยายและหนังไซไฟชอบกันมาก เพราะทำให้เซตติ้งโลกในอนาคตใหม่ ๆ ขึ้นมาได้ตามใจชอบ ซึ่งตัวพ่อของพล็อตแนวนี้สำหรับนิยายหรือหนังชื่อดังในสมัยก่อน ก็เช่น Mad Max ซึ่งก็เป็นแรงบันดาลใจให้การ์ตูนมังงะ หมัดเทพเจ้าดาวเหนือ ที่เป็นแนวนี้เหมือนกัน หรือถ้าเป็นเรื่องยุคใหม่ ๆ หน่อยก็เช่น The Hunger Game ซึ่งผู้กำกับก็คือ Francis Lawrence ด้วยเช่นกัน
ซึ่งจะเห็นว่า พล็อตแนวนี้ไม่ใช่ของใหม่เลยครับ แต่ขึ้นอยู่กับว่าคนเขียนเรื่องหรือผู้กำกับจะสามารถ “สร้างโลก” ที่น่าเชื่อถือ น่าติดตาม และน่าสนใจขึ้นมาได้แค่ไหน ถ้าทำได้ก็มีสิทธิดังระเบิด เพราะข้อดีของพล็อตแนวนี้คือ คุณสามารถใส่พลังจินตาการทุกอย่างลงไปได้ แถมวัตถุดิบมีให้เล่นเพียบ จะทำให้มันเป็นแนว Survivor ไซไฟ แอ็คชั่น หรือไปจะไปแนว เวทมนต์ อวกาศ ก็ยังได้
สำหรับ SEE ก็มีการเซตติ้งโลกขึ้นมาโดยเล่นประเด็นที่มนุษย์สูญเสียพลังของการมองเห็น ซึ่งเรื่องก็ยังไม่ได้เฉลยว่าเกิดอะไรขึ้น แล้วก็ยังไม่ได้เฉลยด้วยว่า ทำไมเด็กคู่แฝดถึงเกิดมาแล้วได้พลังมองเห็นกลับมา แม้ว่าเรื่องจะมีการอธิบายสาเหตุไว้บ้าง แต่ก็ยังเป็นแค่การอธิบายแบบหลวม ๆ ยังไม่ได้เจาะลึกถึงปริศนาที่แท้จริงเท่าไหร่นัก ซึ่งปมปริศนาที่ว่านี้คงต้องติดตามกันต่อไปในซีรีส์ และน่าจะเป็นประเด็นหลักของเรื่องราว
หนังมีข้อเด่นที่น่าสนใจคือ ตัวละครที่มีบุคลิกน่าสนใจ โดยเฉพาะตัวเอก บาบาวอส ซึ่งนำแสดงโดย เจสัน โมมัว ที่สร้างชื่อขึ้นมาจากบท คาล โดรโก ในซีรีส์ระดับโลกอย่าง Game of Throne และบท Aquaman ซึ่งก่อนหน้านี้เขาก็ได้แสดงนำในซีรีส์เรื่อง Frontier ของทาง Netflix จึงเป็นหนึ่งในนักแสดงที่มีผลงานดัง ๆ และมีแฟนคลับติดตามในระดับหนึ่ง โดยทุกบทที่เขาแสดงมา มีจุดร่วมกันคือ เป็นตัวละครชายรูปร่างสูงใหญ่ ดิบ เถื่อน ดูทรงอำนาจ น่าเกรงขาม
ดังนั้นการมารับบทนำในเรื่องนี้จึงถือว่าเป็นจุดเด่นและจุดขายของซีรีส์เรื่องนี้ ซึ่งแฟน ๆ ก็ดูจะไม่ได้คาดหวังว่าเขาจะต้องแสดงฉีกไปจากบทเดิมมากนัก (เพราะเขาก็แสดงในบทแนวนี้ได้โดดเด่นอยู่แล้ว จนกว่าจะถึงวันที่เฝือละนะ) โดยในบท บาบาวอส มีครบทั้ง ความเป็นผู้นำ ความดิบเถื่อน แต่ที่เพิ่มเติมเข้ามาในบทนี้คือ ความเป็นพ่อคนที่มีมุมอ่อนโยน แม้จะแบบดิบ ๆ อีกจุดที่แฟน ๆ คาดหวังและเรื่องนี้เขาก็จัดมาให้คือ บทแอ็คชั่น ซึ่งรับรองว่าจะมีเซอร์ไพรส์แน่หลังจากดูไประยะหนึ่งแล้ว
แต่เรื่องนี้ก็มีจุดด้อยและช่องโหว่เพียบครับ หลังจากผ่านไป 3 ตอนล่าสุด เรียกว่าถ้าคนชอบเรื่องแนวดิสโทเปีย จะรู้สึกว่า เจอเพียบเลย ไม่ว่าจะเป็น การกระทำของตัวละครที่ในเรื่องก็ยังไม่ยอมอธิบายสาเหตุที่เป็นแรงผลักดันที่ชัดเจน รวมถึงพฤติกรรมประหลาด ๆ ของเหล่าตัวละครในเรื่อง
ซึ่งตรงนี้ก็พอเข้าใจได้ว่า มันคือการปรับตัวให้อยู่รอด จากการที่มนุษย์ไม่สามารถใช้สายตามองเห็นได้ เรื่องยังมีความพยายามจินตนาการว่า ถ้าคนเราเสียการมองเห็น จะมีใครสามารถใช้ความได้เปรียบเหล่านี้ได้บ้าง หรือมีอาชีพใหม่ ๆ เกิดขึ้นบ้าง ซึ่งก็ถือว่าเป็นไอเดียประหลาด ๆ ที่น่าสนใจดีครับ เช่น มนุษย์เงา ที่มีความสามารถในการสะกดรอยคนอื่นหรือเข้ามาอยู่ในระยะประชิดได้โดยที่ไม่มีใครรู้ตัว ไปจนถึงอาวุธบางประเภทที่หากใครสามารถใช้งานได้ดี ก็แทบจะไร้เทียมทานไปเลยก็มี
อีกจุดหนึ่งที่ซีรีส์นำมายำ “อย่างเมามันส์” ก็คือองค์ประกอบของ “ไอ้บอดซามูไร” ซึ่งจะเป็นยังไง อยากให้ทุกท่านได้ลองดูกันครับ
ส่วนในแง่ของโปรดักชั่น ดูแล้วก็พอเข้าใจว่าทำไมถึงใช้ทุนสร้างแต่ละตอนมหาศาล แต่ละฉากใช้มุมกล้องและการออกแบบ การดีไซน์ การถ่ายทำที่พยายามโชว์บรรยากาศของโลกอนาคตที่ล่มสลายได้เสมือนกับดูภาพยนตร์ในโรง
สำหรับเรื่องความสัมพันธ์ของตัวละคร ยังดูขัด ๆ และไม่ชัดเจนอยู่ แต่ก็คิดว่าน่าจะทำได้ดีขึ้นในตอนถัด ๆ ไปครับ
โดยภาพรวมแล้ว เป็นซีรีส์ที่ดูมีอนาคต แต่คนที่ไม่ชอบเรื่องมืดหม่นแบบโลกแนวดิสโทเปีย หรือไม่ชอบสไตล์การเดินเรื่องที่ค่อย ๆ ให้เราซึมซับไปกับโลกในจินตนาการที่เซตติ้งขึ้นใหม่ ก็อาจจะไม่ใช่สไตล์เท่าไหร่ แต่ถ้าสามารถดูให้ถึงตอนที่ 3 ได้ คิดว่าหลายคนอาจจะลองเปิดใจดูต่อครับ เพราะเป็นตอนที่เน้นแอ็คชั่นและทำในส่วนนี้ได้ดี น่าสนใจพอสมควร
อัพเดท SEE Apple TV+ สปอยล์สรุปเนื้อหาใน 3 ตอนสุดท้าย
มีการหักมุมพอสมควร แต่ที่จริงถ้าย้อนกลับไปดูช่วงแรกก็ไม่ได้หักมุมขนาดนั้น เพราะเรื่องก็ปูมาแล้วว่า มัครา ไม่น่าจะใช่ผู้หญิงธรรมดา ซึ่งเธอก็คือน้องสาวของราชินีเคนนั่นเอง
ซึ่งเรื่องในช่วงท้าย ก็มาถึงจุดที่บาบาวอส สามารถพาลูกทั้งสองคนคือ โคฟุนและฮานิวามาถึงดินแดนของเจอรามาเรลจนได้ นอกจากนี้เรายังได้เห็นความสามารถและทักษะการเอาตัวรอดบางอย่างของบาบาวอสที่สั่งสมประสบการณ์ไว้มาก ทำให้คนตาบอดอย่างเขาไม่ได้เป็นรองคนตาดีเลย
จุดที่ซีรีส์ทำได้ดีในช่วงท้ายคือ เราได้เห็นว่า บาบาวอส ก็ยังคงเป็นบาบาวอส ยอดคุณพ่อและผู้นำของครอบครัวตั้งแต่ตอนแรก ในขณะที่เจอรามาเรลผู้ลึกลับ ซึ่งเป็นพ่อแท้ๆของโคฟุนและฮานิวาที่พวกเขาต้องการพบตัวนั้น กลับทำในสิ่งที่ตรงข้ามกับคนเป็นพ่อควรทำ หรือจะกล่าวว่า เจอรามาเรลเพียงมองเด็กทั้งสองคนว่าเป็น “เด็กที่เป็นหนึ่งในบรรดาผลผลิต” ที่เขาสร้างขึ้นเท่านั้น
เรื่องยังค่อนข้างจิกกัดและอาจจะต้องการสะท้อนสังคมบางอย่าง เมื่อคนตาดีอย่างเจอรามาเรล รวมถึงเด็กวัยรุ่นเลือดร้อนอย่างฮานิวาที่ถือดีว่าตนมี “ความพิเศษ” เหนือกว่าคนทั่วไป จึงไม่สมควรที่จะอยู่ในสังคมของคนตาบอด แม้ว่าคนเหล่านี้จะเป็นประชากรกลุ่มใหญ่สุดของโลก แต่พวกเจอรามาเรลที่มีจำนวนน้อยนิด ถือว่าตนที่มีความพิเศษเหล่านี้คือผู้ที่จะสร้างอนาคตของโลก
แล้วอนาคตนั้น ไม่มีที่ว่างให้คนตาบอดอย่างพวกบาบาวอส หรือกลุ่มของราชินีเคน
แต่โคฟุนกลับคิดตรงข้าม เขาเป็นคนตาดีที่มีความคิดแตกต่างออกไป จุดหนึ่งที่น่าเสียดายมากคือ ซีรีส์ไม่ได้ขับเน้นให้เราเห็นมากนักว่า อะไรที่ทำให้โคฟุนมีความคิดที่แตกต่างจากฮานิวาราวกับว่าเด็กสองคนนี้ไม่ได้ถูกเลี้ยงดูมาด้วยกันเสียอย่างนั้น ซึ่งมันก็ทำให้ตัวละครฮานิวากลายเป็นตัวละครน่ารำคาญสำหรับคนดูไปโดยปริยาย ในขณะที่โคฟุนก็ดูสมกับเป็นตัวเอกคนหนึ่งที่คนดูต้องเอาใจช่วงไม่แพ้บาบาวอส
สำหรับบทสรุปของเรื่องราวเจอรามาเรล ทำได้สะใจคนดู แต่ก็อาจจะเป็นสรุปที่ง่ายไปสักหน่อย จนเราเองก็ตอบได้ยากว่า แล้วต่อไปจะทำอย่างไรกับเรื่องราวของกลุ่มเจอรามาเรล หรือจะถูกตัดบทไปเลยในซีซันถัดไป ก็ยังตอบได้ลำบากครับ
ซึ่งในภาพรวมแล้ว See ยังมีอนาคตที่จะไปต่อได้สำหรับการเป็นออริจินอลซีรีส์เรื่องแรกๆของ Apple TV+ เพียงแต่ถ้าเทียบกับซีรีส์ในสไตล์นี้ของ Netflix ก็ยังคงสุ่มเสี่ยงว่าจะรุ่งหรือจะแป้ก แต่ข้อดีอย่างหนึ่งของซีรีส์ชุดนี้คือ เจสัน โมมัว เป็นนักแสดงที่เหมาะกับการเล่นแนวนี้จริงๆ
สำหรับคนที่สนใจ สามารถดูได้ผ่านเว็บ Apple TV+ ไม่ว่าจะทาง iPhone iPad หรือดูทาง Smart TV หลังจากใช้ Apple ID แล้วได้เลยครับ
ตัวอย่างซีรีส์ SEE Apple TV+
ติดตามรีวิวหนัง apple Tv+ เรื่องอื่นคลิกที่นี่
ติดตามบทความทั้งหมดของผู้เขียนคลิกที่นี่
SEE Apple TV+ Reference Website