รีวิว SEE ss2 การกลับมาของ เจสัน โมมัว เวอร์ชั่นซามูไรตาบอด ปะทะ เดฟ บาติสต้า
SEE ss2
สรุป
งานยกระดับจากซีซันแรก เป็นแนวชิงอำนาจ การเมือง สงคราม ทีมนักแสดงเริ่มเยอะขึ้น เจสัน โมมัว ยังคงเป็นตัวแบกเรื่อง มีช่วงเนือยและตรรกะแปลกๆไปบ้าง แต่ภาพรวมถือว่าทำได้ดี ไปต่อได้
Overall
8/10User Review
( votes)Pros
- โปรดักชั่นงานคุณภาพสูง ฉากต่อสู้ด้วยดาบทำได้ดีมาก
- เจสัน โมมัว ยังเป็นคนที่แบกภาพรวมทั้งเรื่อง และทำได้ดีมากขึ้นทุกตอน
- บาติสต้า ทำได้ดีในบทตัวร้ายของภาค
- การขยายจักรวาลของเรื่องไปยังกชนเผ่าและกองกำลังต่างๆทำได้น่าสนใจมาก
- วางความสัมพันธ์ตัวละครได้ดี
Cons
- มีฉากมืดเยอะ ดูนานๆแล้วปวดสายตาได้ง่าย
- บางฉากเล่าเรื่องยืดเยื้อเกินไป
- ตรรกะตัวละครหลายคนทำให้เรื่องดราม่าและเหมือนจงใจยืดเรื่อง
- ตัวละครบางคนวางบทมานานแต่กลับให้ตายง่ายๆเกินไป
SEE ss2 Apple TV+ รีวิว ซึรีส์ การกลับมาของสงครามมนุษย์ตาบอดในโลกอนาคตที่ล่มสลายแนวดิสโทเปีย ซึ่งมนุษย์ทุกคนเสียการมองเห็น นำแสดงโดย เจสัน โมมัว (Jason Momoa) ภาคนี้เปลี่ยนจากแนวการตามไล่ล่าบวกดราม่าครอบครัว เริ่มกลายเป็นแนวชิงอำนาจการเมืองและสงครามใหญ่ระหว่างชนเผ่าและอาณาจักรมากขึ้น แล้วยังปูทางไปสู่การเริ่มฟื้นฟูอารยธรรมของมนุษย์ หลังจากที่คนที่มองเห็นเริ่มเกิดและเผยตัวออกมามากขึ้นด้วย
มีทั้งหมด 8 ตอนจบ ซีซันสอง รับชมได้เลยใน Apple TV+
อ่านรีวิวซีซันแรกได้ที่นี่ รีวิว SEE Apple TV Season 1
ตัวอย่าง SEE ss2 Apple TV+ Trailer
SEE ss2 เรื่องย่อ
เรื่องราวกล่าวถึงโลกในอนาคตที่ไกลโพ้น เผ่าพันธุ์มนุษยชาติได้สูญเสียพลังแห่งการมองเห็นโดยไม่ทราบสาเหตุ เมื่อเด็กทุกคนที่เกิดมาบนโลกกลายเป็นคนตาบอดทันที ซึ่งก็ทำให้อารยธรรมมนุษย์แทบจะสิ้นสลายไปด้วย แต่บรรดามนุษย์ที่ยังอยู่รอดและเกิดขึ้นมาใหม่ต่างก็ปรับตัวให้เข้ากับวิถีชีวิตแบบใหม่ที่มองไม่เห็น ซึ่งทำให้ประสาทสัมผัสด้านอื่นๆเฉียบคมขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการฟัง ดมกลิ่น สัมผัส แล้วก็ทำให้วิถีชีวิตแบบใหม่ของมนุษย์กำเนิดขึ้นพร้อมกับวัฒนธรรมและลัทธิความเชื่อกับอาณาจักรใหม่ของมนุษย์
แต่แล้วเมื่อมีคนที่มองเห็นได้ปรากฏตัวขึ้นมาที่รู้จักในชื่อ เจอร์มาเรล แล้วเด็กที่เกิดจากเขาและผู้หญิงที่เขามีอะไรด้วยก็กลับกลายเป็นมองเห็นเช่นกัน นั่นทำให้เกิดความสั่นคลอนต่อวิถีชีวิตเก่าๆของมนุษย์ที่ตาบอด ทำให้เด็กที่มองเห็นถูกกล่าวหาว่าเป็น “แม่มด” ที่จะต้องถูกนำไปสังหารทิ้ง
แล้วในบรรดาเด็กที่มองเห็นนั้น พี่น้องคู่หนึ่งที่เกิดจากมักราห์ เจ้าหญิงคนรองของราชวงศ์เคนแห่งอาณาจักรพายัน ซึ่งเป็นอาณาจักรใหญ่ที่มีประชาชนและกองทหารมากมาย พวเขาได้พาลูกทั้งสองหนีการตามล่ามาพร้อมกับชายหนุ่มนักรบที่กลายมาเป็นสามีของเธอนั่นคือ บาบาวอส (นำแสดงโดย เจสัน โมมัว) พวกเขาทั้งสองคนช่วยกันเลี้ยงดูเด็กๆจนเติบโต นั่นคือ โคฟุน และ ฮานิวา แต่แล้วก็ถึงวันที่ทหารนักล่าแม่มดตามตัวพวกเขาเจอ แล้วยังมีความปรารถนาที่จะออกตามหาพ่อที่แท้จริงของเด็กทั้งสองคนด้วย ซึ่งก็กลายเป็นเรื่องราวในซีซันแรก
ส่วนในซีซันสอง เรื่องราวจะต่อเนื่องจากเหตุการณ์ในตอนท้ายครอบครัวของบาบาวอสต้องพลัดพรากกันไปคนละทาง ซึ่งเขาก็ตั้งมั่นที่จะตามตัวฮานิวากลับมาให้ได้ แต่เขาก็พบว่าฮานิวาถูกลักตัวไปอยู่กับพวกของ อีโด บาวอส น้องชายแท้ๆของเขาซึ่งเป็นผู้นำกองทหารของทรีวานเทียน ซึ่งถือว่าเป็นภัยคุกคามใหญ่หลวงต่อราชวงศ์เคน ดังนั้นการต่อสู้ที่นำไปสู่สงครามใหญ่ที่พ่วงไปกับวิถีชีวิตของคนตาบอดและคนที่มองเห็นซึ่งเริ่มจะปรากฏตัวกันออกมาเรื่อยๆจึงเกิดขึ้นในซีซันนี้
แต่เรื่องวุ่นวายก็เกิดขึ้น เมื่อมีเด็กคู่แฝดเกิดใหม่คู่หนึ่งที่สามารถมองเห็นได้ ซึ่งก็ทำให้ บาบาวอส ผู้นำเผ่าเอลคันดี ซึ่งเป็นสามีของ มักซ์ราห์ หญิงสาวผู้ให้กำเนิดเด็กคู่แฝด แม้ว่าที่จริงแล้วเขาจะไม่ใช่พ่อแท้ๆของเด็กคู่แฝดก็ตาม แต่บาบาวอสก็ตัดสินใจพาพวกเขาหลบหนีการตามล่าจากราชินีซิเบธ ผู้ต้องการชิงตัวเด็กคู่แฝดมา รวมถึงความกังวลว่า การเกิดของเด็กคู่แฝดที่มองเห็นได้ จะทำให้อำนาจและวิถีเดิมที่เคยมีมาทั้งหมดต้องพังทลายไป
SEE ss2 รีวิว
เรื่องนี้นับว่าสร้างชื่อเสียงเอาไว้มากหลังจากซีซันแรกฉายจบ ด้วยพล็อตเรื่องที่กล้าคิดกล้าทำ แหวกแนวไปจากแนวดิสโทเปียเรื่องอื่นๆ แล้วยังเป็นความท้าทายอย่างยิ่งว่า “สังคมมนุษย์ที่ตาบอดกันมาเป็นร้อยปีพันปีจะออกมารูปแบบไหน” เพราะเท่ากับว่าทีมสร้างต้องทำการบ้านอย่างหนักในการออกแบบ การเคลื่อนไหว วิถีชีวิต การกินอยู่ การเอาตัวรอด วิธีการต่อสู้ กระทั่งศาสนา ความเชื่อ และอื่นๆ ที่จะต้องดูน่าเชื่อถือว่า หากมนุษย์ตาบอดกันหมดก็น่าจะออกมาแบบนี้แหละ
ซึ่งในภาพรวมแล้ว ซีรีส์อาจจะทำออกมาดูเว่อร์ไปสักนิดที่ทำให้เหล่าคนตาบอดในเรื่อง “โคตรเก่ง” ชนิดที่ว่าเหล่าคนตาดีสามารถถูกคนตาบอดเหล่านี้สังหารเอาได้ง่ายๆ หากพลาดไปนิดเดียว แต่ถ้ามองในแง่ความเป็นจริงว่า เมื่อคนเราสูญเสียการมองเห็น แต่ถูกแทนที่ด้วยประสาทสัมผัสด้านอื่นๆ การใช้ชีวิตของพวกเขาก็คงเหมือนกับปลาและสัตว์ในทะเลน้ำลึก ที่แม้ว่าจะตาบอดแต่ก็ยังใช้ชีวิตอยู่ได้ ออกล่าได้ ในขณะที่พวกเด็กๆ รุ่นใหม่ในเรื่องที่เป็นคนตาดีซึ่งมีจำนวนมากขึ้น ก็ต้องรู้จักใช้ความได้เปรียบที่พวกเขามีในการเอาตัวรอดในโลกอันป่าเถื่อนนี้
แล้วในซีซันที่สองนี้ก็ดูเหมือนว่าจะมีส่วนที่น่าจะสมใจทีมผู้สร้างและทาง Apple TV+ ในแง่ที่ว่าพวกเขาต้องการสร้างซีรีส์แนวอีพีคฟอร์มยักษ์ สงคราม ให้ได้คล้ายๆ กับ Game of Throne ของ HBO ซึ่งได้กลายเป็นเรือธงยักษ์ใหญ่ที่ทำให้ช่องผงาดกลับมาอย่างสุดยอด เพราะหลังจากการผงาดของ GOT ก็ทำให้สตรีมมิ่งและค่ายสตูดิโอเจ้าต่างๆ อยากที่จะผลิตงานซีรีส์ฟอร์มยักษ์แนวที่เซตติ้งโลกสงครามอีพิคระดับนี้ออกมาบ้าง ซึ่งทาง Netflix ได้พยายามปลุกปั้นกับ The Witcher ขึ้นมาจนประสบความสำเร็จในระดับหนึ่ง ส่วนทาง Apple TV+ ก็มาทุ่มเทกับ SEE นี่เอง (ส่วนในปีนี้ก็มาปล่อยของใหญ่อีกเรื่องด้วยไซไฟฟอร์มยักษ์ Foundation ที่โดนแฟนพันธุ์แท้ของอาสิมอฟสาปส่งกันอยู่) ในขณะที่เจ้าอื่นๆอย่างเช่น Amazon Prime ก็เตรียมจะปล่อย Lord of the Rings ในเร็วๆ นี้ เรียกได้ว่าทุกเจ้าต่างก็ทุ่มเทให้งานซีรีส์สไตล์นี้หวังจะให้เป็นผลงานเรือธงของตนเองให้ได้
สำหรับ SEE ซีซันแรกผ่านไปอาจจะยังไม่ตอบโจทย์ที่ว่านัก แต่ในซีซันสองต้องถือว่าเรื่องยกระดับขึ้นมาได้ดีขึ้น (แม้จะไม่สามารถสร้างกระแสได้ระดับ GOT และก็คงทำได้ไม่แน่) แต่ก็ถือว่านี่เป็นงานซีรีส์แอ็กชั่นแฟนตาซีระดับอีพิคที่ยอดเยี่ยมเรื่องหนึ่งที่รับชมได้โดยไม่ผิดหวัง ถึงแม้จะมีจุดขัดใจ จุดติ จุดด้อยให้เห็นอยู่ตลอดเรื่องก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นความเนือยในการเดินเรื่องบางช่วง การวางบทตัวละครบางคนที่ปูมาดีแต่บทจะทิ้งไปก็ง่ายๆ เกินไป และตรรกะความคิดและการตัดสินใจหลายอย่างของตัวเอกที่ทำให้เรื่องราวมันยากขึ้นแทนที่จะคลี่คลายปัญหาบางอย่างได้ตั้งแต่แรก ตรงนี้ถือว่าเป็นสิ่งที่ทำให้การรับชมเรื่อง SEE ดูน่ารำคาญไปบ้าง เพราะตัวละครมักทำในสิ่งที่ขัดใจคนดูหลายครั้ง ข้อเสียร้ายแรงอีกอย่างก็คือ เรื่องนี้มีฉากมืดเยอะมาก ทำให้การรับชมนานๆ เป็นเรื่องชวนปวดสายตาสุดๆ
แต่สิ่งหนึ่งที่ยกระดับขึ้นมาชัดเจนเลยก็คือ การนำเสนอเรื่องของกลุ่มและชนเผ่าต่างๆ ที่หลากหลายมากขึ้น มีการเจาะไปถึงความขัดแย้งภายในอาณาจักร และภาคนี้จะได้โชว์ว่า การทำสงครามของคนตาบอดหมู่มาก มันจะออกมาประมาณไหน
ในซีซันสองนี้ ยังมีการผลักดันประเด็นหนึ่งที่น่าสนใจ คือการที่เรื่องนำเสนอว่า ในโลกที่คนตาบอดเป็นคนหมู่มาก คนตาดีจึงถูกกดขี่และมองไม่ต่างอะไรจากเครื่องมือ อาวุธ ไปจนถึงเครื่องช่วยปั๊มลูก แต่แล้ววันหนึ่งหากคนที่มองเห็นได้มีจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ สถานะมันจะกลับกันทันที คนตาบอดก็จะถูกกดขี่เหยียดหยาม นี่คือสัจธรรมมนุษย์ซึ่งซีรีส์ก็หยิบมาเล่นอยู่เป็นระยะในซีซันสอง ชวนให้จิกกัดต่อสภาพสังคมจริงในโลกเหมือนกันเรื่องการดูถูก กดขี่ เหยียดชาติพันธุ์คนที่แตกต่างจากตนเอง และอื่นๆ
แล้วในขณะเดียวกันเรื่องยังนำเสนอว่า คนตาดีที่ใช้การมองเห็นเป็นความได้เปรียบแบบ เจอร์มาเรล ที่ทำตัวเหมือนประหนึ่งศาสดา แต่หลังจากเขาเสียการมองเห็นเพราะบาบาวอสในท้ายภาคแรก ความได้เปรียบทั้งหมดที่มีก็สลายไปทันที แล้วในขณะเดียวกันยังส่งผลทำให้สถานการณ์ภาพรวมของโลกการคานอำนาจไปด้วย เพราะการตาบอดของเจอร์มาเรลทำให้ขุมกำลังคนตาดีที่เขาเพาะสร้างขึ้นล่มสลายและถูก อีโด วอส ฮุบเอาไป รวมถึงลูกชายของเขาและคลังห้องสมุดที่เป็นขุมทรัพย์ทางสติปัญญาของมนุษย์ด้วย
ในซีซันสอง ยังมีพัฒนาการสำคัญของตัวละครที่หลายคนไม่ค่อยชอบในซีซันแรก นั่นคือฮานิวา ลูกสาวสุดดราม่าที่ชอบสร้างปัญหามากมายแล้วก็เป็นตัวละครที่ทำให้บาบาวอสต้องยอมเสี่ยงตายออกตามหาเพื่อช่วยเหลือซึ่งเป็นพาร์ทแรกของซีซันสองนี้ พอมาซีซันสองเราจะพบว่านี่เป็นหนึ่งในตัวละครที่มีพัฒนาการในแง่บวกดีขึ้นเรื่อยๆ ความดราม่าเอาแต่ตนเองลดน้อยลง ฟังคนอื่นมากขึ้น โดยเฉพาะความสัมพันธ์กับบาบาวอสที่ค่อนข้างตึงเครียดในซีซันแรกก็หายไปจนเรียกได้ว่าในซีซันสองนี้เธอเห็นบาบาวอสเป็นพ่อเพียงคนเดียว ไม่ได้สนใจเจอร์มาเรลที่หักหลังเธออีกแล้ว แถมในซีนี้เธอยังมีประเด็น LGBT ร่วมกับ เวร็น ตัวละครใหม่ที่เป็นคนสายตาดีคนใหม่ที่เปิดตัวมาอีกด้วย
ในทางตรงกันข้ามพัฒนาการของ โคฟุน ลูกชายที่ในซีซันแรกเป็นตัวละครที่มีความคิดอ่านค่อนข้างดี พอมาซีนี้กลับถูกคนหลอกและปั่นหัวเอาง่ายๆ แต่ก็พอจะอ้างได้ว่าเพราะความหื่นกระหายของวัยรุ่น ทำให้เขาเสียท่าราชินีซิเบธนั่นเอง
ส่วนคำถามสำคัญอย่างหนึ่งที่หลายคนน่าจะสงสัยและตั้งคำถามกันมาตั้งแต่ซีซันแรกแล้ว ก็คือเรื่องโครงสร้างทางสังคม การชิงอำนาจระหว่างชนเผ่าและแคว้นต่างๆ ว่าในเมื่อทุกคนตาบอดกันหมดแล้ว มันจะปกครองกันยังไง ซึ่งคำตอบของเรื่องนี้ในซีซันแรกถูกนำเสนอผ่านลัทธิความเชื่อที่ถูกราชวงศ์เคนเอามาใช้ประโยชน์ในการควบคุมผู้คน แล้วยังมีมุมของกลุ่มนักล่าแม่มดที่ทำตามปณิธานของพวกเขาที่จะออกล่าคนที่มองเห็นได้ ซึ่งตรงนี้ล้อกับความเชื่อเรื่องการล่าแม่มดในยุคกลางของยุโรป เสมือนยั่วล้อความหวาดกลัวของผู้คนต่อสิ่งที่แตกต่างจากตนเอง แล้วมันก็ไม่สามารถแก้ไขง่ายๆเพียงแค่ออกมาประกาศยกเลิกแนวคิดนี้ด้วย อย่างที่จะเห็นในซีซันนี้ว่า ทัศนคติของผู้คนต่อสิ่งที่แตกต่างนั้นเปลี่ยนแปลงได้ยาก
แต่เรื่องก็ยังเผยให้เห็นอีกว่า แท้จริงแล้วกลุ่มคนตาดีไม่ได้มีแค่พวกเจอร์มาเรลเท่านั้น ยังมีคนตาดีอีกไม่น้อยที่แอบแฝงตัวอยู่ในสังคมคนตาบอด อีกทั้งกระแสของเด็กเกิดใหม่ที่กลายเป็นคนตาดีก็เริ่มมากขึ้นอย่างช้าๆ ซึ่งแนวโน้มนี้ก็จะทำให้สังคมมนุษย์พลิกผันไปอีกแบบ
แล้วประเด็นดังกล่าวนี่เองที่เป็นความกังวลของราชินีซิเบธที่หวั่นเกรงว่าโครงสร้างทางสังคมและอาณาจักรของคนตาบอดอาจจะล่มสลาย ดังนั้นเธอจึงต้องวางแผนพลิกเกมใหม่ด้วยการหาทางที่จะตั้งท้องกับคนตาดีสักคน คือร่วมสัมพันธ์ทางเพศกับคนตาดีคนไหนก็ได้เพื่อที่เธอจะได้ตั้งครรภ์ ซึ่งความพยายามของราชินีซิเบธตรงนี้เป็นไปอย่างล้มลุกคลุกคลานมาก เพราะแม้จะตั้งครรภ์ได้แล้วแต่ก็ไม่ได้แปลว่าเด็กจะเกิดมารอด กระทั่งจบซีซันที่จะต้องมาลุ้นกันว่าเธอจะทำแผนการนี้ได้สำเร็จไหม ซึ่งถ้าวิเคราะห์ดูให้ดีจะอดรู้สึกไม่ได้ว่าบทของราชินีซิเบธ ช่างคล้ายกับ เซอร์ชี ในเรื่อง GOT คือเป็นผู้หญิงที่มีจุดเด่นเรื่องความทะเยอทะยาน ความกล้าและลงมือทำในสิ่งที่บ้าพอที่จะแสวงหาอำนาจและพร้อมใช้ทุกอย่างเพื่อผลประโยชน์ของตนเอง ถึงขนาดที่ว่าจะให้มีเพศสัมพันธ์กับหลานชายแท้ๆ ของตัวเองก็เอา (เป็นไปได้ว่ามนุษย์ในยุคนี้ไม่ได้มีความรู้เรื่องปัญหาที่จะเกิดขึ้นหากสมสู่กันระหว่างญาติพี่น้องแล้วลูกจะมีความผิดปกติ)
ในซีซันนี้ยังมีการเปิดเผยอดีตเบื้อหลังของ บาบาวอส ว่าทำไมเขาจึงเป็นสุดยอดนักรบที่หาคนยากต่อกร เพราะเขาเป็นลูกชายของผู้นำทางทหารของพวกทรีวานเทียน ซึ่งเป็นภัยคุกคามสำคัญของอาณาจักรพายัน ในขณะที่มักราห์ก็เป็นถึงเจ้าหญิงของพายัน เรียกง่ายๆ ว่าพระเอกเรื่องนี้คือลูกชายแม่ทัพใหญ่ที่มาพบรักกับเจ้าหญิงของอาณาจักรศัตรูนั่นเอง แล้วยังมีประเด็นความแค้นกับอีโด น้องชายแท้ๆ ของเขา ซึ่งจะเป็นบอสหลักของภาคนี้ด้วย ส่วนในซีซันสามที่จะมาแน่นอน เรื่องราวก็น่าจะขยายไปยังพวกสภาไทรแองเกลที่ควบคุมทรีวานเทียนและเป็นพวกที่มีอำนาจบัญชาการเหนืออีโดอีกทีหนึ่ง ซึ่งในซีซันนี้ก็เริ่มพูดถึงบ้างแล้ว
ด้านฉากแอ็กชั่น โดยเฉพาะฉากต่อสู้ระยะประชิด นับว่าเป็นจุดเด่นสำคัญของเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นการออกแบบท่าต่อสู้ วิชาการใช้อาวุธที่ราวกับซามูไรตาบอด โดยเฉพาะตัวเอกอย่าง บาบาวอส ที่ต้องขอชื่นชมเลยว่า เจสัน โมมัว สามารถมอบชีวิตให้ตัวละครนี้ได้อย่างดีเยี่ยม เป็นหนึ่งในบทบาทที่เขาแสดงได้ดีที่สุดไม่แพ้อควอแมนเลยทีเดียว
ที่น่าสนใจอย่างหนึ่งคือ นักแสดงเอเชียที่เข้ามาร่วมในซีซันสองบางคนยกทีมมาจากซีรีส์ Warrior จาก HBO GO ซึ่งก็เป็นตัวสร้างสีสันที่ดีเลย ส่วนบอสหลักของภาคนี้ก็ได้ เดฟ บาติสต้า ที่แฟนมวยปล้ำและแฟนมาร์เวลต่างคุ้นเคยกันดีมารับบท อีโด วอส ซึ่งเขาทำได้ดีเกินคาดเลยทีเดียว
ส่วนพาร์ทสงครามหลักของเรื่อง คงต้องยกความดีความชอบให้ทีมสร้างที่ดูก็รับรู้ได้ว่าพยายามอย่างยิ่งที่จะสร้างสรรค์ฉากสงครามของกองทัพคนตาบอดให้ออกมาได้ดีที่สุด โดยเฉพาะการเอาจุดเด่นของคนตาบอดที่แม้ว่าจะมองไม่เห็นแต่มีประสาทหูที่ดีมาประยุกต์ใช้กับกลยุทธ์ในการรบ โดยเฉพาะกลยุทธ์สุดท้ายที่พวกบาบาวอสที่มีกำลังพลน้อยกว่าอีโด ใช้การสู้พลางถอยพลางเพื่อล่อให้ทัพอีกฝ่ายรุกเข้ามาในชัยภูมิที่พวกตนถนัด แล้วใช้ภูมิประเทศให้เป็นประโยชน์ ที่สำคัญคือแม้ว่าทั้งสองฝ่ายจะมีคนที่มองเห็นช่วยเหมือนกัน แต่กลยุทธ์นี้ยังสามารถลวงพวกที่มองเห็นได้ด้วย สำหรับฉากนี้ดูได้เลยในตอน 8 ที่เป็นช่วงสงครามท้ายเรื่องครับ
อีกจุดหนึ่งที่ยังค่อนข้างเป็นปัญหาก็คือการอธิบายความสัมพันธ์ระหว่างชนเผ่าที่ขัดแย้งกันรุนแรงนั้น กลับบอกเล่าออกมาได้ไม่ดีนัก คือดูจนจบแล้วเรื่องก็ยังไม่ค่อยอธิบายประวัติศาสตร์ความขัดแย้งตรงนี้มากนัก หลายคนที่ดูมาแล้วก็อาจจะงงและสับสนได้ว่า ตกลงฝ่ายไหนเป็นฝ่ายไหนกันบ้าง แล้วใครเป็นศัตรูใครบ้าง แต่ก็ยังดีที่ในเรื่องจนถึงล่าสุดเน้นที่ความขัดแย้งระหว่างพายันและทรีวาเทียนสองฝ่ายหลักเท่านั้น ในอนาคตหากมีการขยายสเกลไปถึงกลุ่มอื่นๆอีก ทีมสร้างอาจจะต้องปรับวิธีการเล่าเรื่องส่วนนี้ขึ้นอีก
ในภาพรวมแล้ว เรื่องนี้ถือว่าเป็นซีรีส์หัวหอกเรื่องหนึ่งของ Apple TV อย่าไม่ต้องสงสัย ซึ่งในซีซันสองก็คลี่คลายเรื่องราวสำคัญลงไปเยอะมาก และจบได้ดีกว่าซีซันแรก หวังว่าซีซันสามจะสามารถทำออกมาได้ดีขึ้นไปอีก
ติดตามบทความทั้งหมดของผู้เขียนคลิกที่นี่
Reference Website