รีวิว Sense8 Netflix เซนเสต 8 คนจิตสื่อถึงกัน จากผู้สร้าง Matrix
Sense8
สรุป
Sense8 เป็นซีรีส์ไซไฟปรัชญาสุดล้ำจากสองพี่น้องผู้สร้าง The Matrix โปรดักชั่นและการแสดงยอดเยี่ยม ฉากแอ็คชั่นดีเกินคาด นับว่าเป็นผลงานสำคัญของ Netflix ที่ควรเปิดใจชมสักครั้ง
Overall
8.5/10User Review
( votes)Pros
- โปรดักชั่นและการแสดงยอดเยี่ยม
- มีฉากแอ็คชั่นที่ดีเกินคาดมาก
- เส้นเรื่องของตัวละครหลักทั้ง 8 น่าติดตาม มีหลากหลายรสชาติ เหมือนดูหนัง 8 สไตล์ในเรื่องเดียว
- มีสารของผู้สร้างชัดเจนที่ต้องการเรียกร้องให้กับ LGBT และคนตัวเล็กในสังคม
Cons
- เรื่องเรต 18+ และการนำเสนอประเด็น LGBT ในเรื่องมีจุดล้นอยู่ เป็นซีรีส์ที่ไม่เหมาะสำหรับเด็ก
- การเดินเรื่องมีช่วงสนุกและน่าเบื่อสลับกัน เล่าเรื่องที่ไม่จำเป็นมากเกินไป ทำให้ดูเหมือนกั๊กบท
- ในซีซันแรก กว่าเรื่องจะเริ่มสนุกเข้มข้นจริงๆต้องดูผ่านท้ายตอน 3 ทำให้หลายคนอาจดรอปไปก่อน
Sense8 Netflix เซนเสต รีวิว สปอยล์ ผลงานจากผู้สร้าง The Matrix ซีรีส์ไซไฟปรัชญาสุดล้ำ เมื่อทั้ง 8 คนจากแต่ละมุมโลกสื่อจิตถึงกัน แล้วก่อปาฏิหาริย์ร่วมกันได้
Sense8 เป็นซีรีส์ไซไฟปรัชญาสุดล้ำใน Netflix ผลงานจากสองพี่น้อง วาชอฟสกี้ ผู้ที่เคยสร้างสรรค์ผลงานสุดยอดอย่าง The Matrix โดยครั้งนี้เป็นการสร้างสรรค์ร่วมกับ ไมเคิล สตราคซินสกี้ ผู้สร้างซีรีส์ไซไฟอวกาศปนปรัชญาระดับตำนานอย่าง Babylon5 ที่เคยโด่งดังในยุค 90 มาแล้ว ทางช่องฟรีทีวีและช่องทรูในไทยก็เคยนำมาฉายในช่วงรอบดึกมาก่อน ซึ่งสำหรับเซนเสต ถือว่าเป็นผลงานที่มีความเป็นตัวตนของสองพี่น้องวาชอฟสกี้อย่างถึงที่สุดเรื่องหนึ่งครับ
ตัวอย่างซีรีส์ Sense8
Sense8 เรื่องย่อ
เมื่อคน 8 คนจากทั่วมุมโลก ที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน กลับสามารถสื่อจิตถึงกันได้ ไม่ว่าจะเป็นการสัมผัส รูป รส กลิ่น เสียง แถมการสื่อจิตนี้ยังเสมือนกับเรียกให้อีกคนหนึ่งเข้ามาแทนที่แล้วใช้ความสามารถของแต่ละคนในการแก้ปัญหาได้
ซึ่งพวกเขาทั้งหมดถูกตามล่าโดยองค์กรปริศนา และคนที่เรียกตัวเองว่า วิสเปอร์ เพื่อนำพลังในการสื่อจิตของพวกเขาไปใช้ประโยชน์ จึงทำให้คนทั้ง 8 ต้องเริ่มหาทางสืบค้นหาความจริงว่าอะไรคือที่มาพลังของพวกเขา และพวกเขาจะสามารถตอบโต้วิสเปอร์เพื่อกลับมาใช้ชีวิตอย่างสงบได้หรือไม่ แนะนำให้ติดตามได้ในทั้งสองซีซันใน Netflix
Sense8 ตัวละคร
วิลล์ นายตำรวจในชิคาโก สหรัฐอเมริกา มีความสามารถในการสืบสวนและการต่อสู้ เป็นคนแรกๆในกลุ่ม 8 คนที่เริ่มสืบสวนหาความเกี่ยวข้อง เขาสื่อถึงริลลี่ย์ได้มากเป็นพิเศษแล้วทั้งสองคนก็ตกหลุมรักกัน จากนั้นวิลก็เริ่มเข้าช่วยเหลือสถานการณ์ของคนในกลุ่มผ่านการสื่อจิต และเป็นตัวหลักในการไปตามช่วยเหลือริลลีย์ออกมา
ริลลีย์ ดีเจสาวชาวไอซ์แลนด์ ทำงานอยู่ในอังกฤษ ต้องหนีจากเหตุถูกเจ้าพ่อไล่ตาม บวกกับเริ่มสัมผัสถึงคนในกลุ่มเซนเสตได้ เธอถูกวิสเปอร์เข้าถึงตัวแล้วจับตัวไป ทุกคนในกลุ่มจึงรวมพลังกันโดยสื่อผ่านทางวิลเพื่อช่วยเธอออกมา ถ้าเทียบกับคนอื่นในกลุ่ม ริลลีย์ไม่ได้มีความสามารถพิเศษเฉพาะทางอะไรนัก แต่มีบทบาทเสมือนเป็นสื่อกลางหลักในกลุ่ม
ซัน สาวชาวเกาหลี ลูกสาวนักธุรกิจใหญ่ซึ่งยอมสละตัวเองติดคุกแทนน้องชายที่ทำทุจริต เธอมีความสามารถในการต่อสู้ประชิดตัวสูงมาก ปกติเป็นคนพูดน้อยและไม่ค่อยแสดงอารมณ์ แต่ด้วยการสื่อจิตกับคนอื่นในกลุ่ม เธอยอมเปิดเผยอารมณ์ความรู้สึกร่วมกับคนอื่น ในเรื่องนับว่าซันเป็นคนที่ใช้ความสามารถในการต่อสู้ของตนเองช่วยเหลือคนอื่นในกลุ่มไว้ได้มากที่สุด แต่ในช่วงที่เธอลำบาก คนอื่นก็ช่วยเธอกลับได้มากเช่นกัน
แคปฟิอัส คนขับรถรับจ้างชาวเคนยา เจ้าของฉายา แวนแดม ที่ตั้งตามชื่อดารา ชองคลอดแวนแดม แล้วยังเป็นคนรักความยุติธรรมสูง มีความสามารถในการขับขี่รถซึ่งนำมาใช้ช่วยคนในกลุ่มยามคับขันได้อย่างไม่คาดคิด
โนมิ แฮกเกอร์สาวอัจฉริยะ แต่ที่จริงเป็นชายแปลงเพศ อาศัยในซานฟรานซิสโก ร่วมกับแฟนสาว เธอหมดสติจนถูกส่งตัวไปโรงพยาบาลแล้วแม่ของเธอยอมรับให้ผ่าตัดสมอง ได้พวกวิลล์ ซัน แคปฟิอัส ช่วยให้รอดพ้นจากการถูกผ่าตัดมาได้ โนมิยังใช้ความสามารถในการแฮกเกอร์เพื่อสืบหาข้อมูลและเรื่องราวทั้งหมดเพื่อปะติดปะต่อกัน
ลีโต้ นักแสดงหนุ่มชาวเม็กซิโก กำลังโด่งดังจากการรับบทพระเอกหนุ่มเจ้าเสน่ห์สายบู๊ แต่ตัวจริงเป็นพวกรักเพศเดียวกัน ทำให้ต้องปกปิดเรื่องราวจากสื่อ ลีโต้ยอมรับว่าความถนัดของตนคือการโกหก ดังนั้นเขาจึงเริ่มเข้ามาช่วยเหลือคนในกลุ่มด้วยการใช้ความสามารถในการแสดงเพื่อการล้วงข้อมูลและเนียนในการเข้าไปยังสถานที่ต่างๆได้
คาล่า สาวชาวอินเดีย นักศึกษาด้านเคมี กำลังจะแต่งงานเมื่อมีชายหนุ่มนักธุรกิจมาสู่ขอ แต่เธอกลับสื่อจิตกับวูล์ฟกังจนทั้งสองตกหลุมรักกันทำให้เธอเกิดความสับสน ในช่วงแรกคาล่าไม่มีบทบาทช่วยในกลุ่มมากนัก แต่เธอมีความรู้ในด้านวิชาเคมีซึ่งนำมาช่วยคนในกลุ่มในช่วงหลังได้หลายครั้ง โดยเฉพาะช่วงที่ต้องทำยาเพื่อป้องกันการเชื่อมต่อระหว่างวิลล์และวิสเปอร์
วูล์ฟกัง จารชนหนุ่มชาวเยอรมัน บุคลิกเป็นคนเย็นชา เด็ดขาด สื่อจิตกับคาล่าจนเกิดหลงรักกัน แล้วก็เริ่มเปิดใจให้คนในกลุ่มด้วยการใช้ความสามารถเข้าช่วยคนอื่นในกลุ่มด้วย ภายหลังวูล์ฟกังยังได้ค้นพบกลุ่มอื่นที่มีความสามารถในการสื่อจิตกันได้ด้วย
Sense8 รีวิว
ที่จริงแล้วเรื่องนี้ถือว่าเป็นซีรีส์ระดับท็อปที่มีชื่อเสียงมากของ Netflix แต่ส่วนหนึ่งที่มีชื่อเสียงไม่ใช่เพราะเรื่องความสนุกของเรื่อง แต่ยังมาจากอีกหลายปัจจัย เช่น
- เป็นซีรีส์จากผลงานของสองพี่น้องวาชอฟสกี้ สองผู้สร้าง Matrix
- เป็นซีรีส์ที่แสดงออกอย่างชัดเจนถึงการเรียกร้องสิทธิของเพศที่สาม LGBT และคนที่ถูกลืมในสังคม
- เป็นซีรีส์ของ Netflix ที่ใช้ทุนสร้างมหาศาล มีการถ่ายทำในหลายประเทศ
- เป็นซีรีส์ที่ถูกตัดจบในซีซันสอง แต่แฟนๆเดนตายเรื่องนี้ออกมารวมพลังเรียกร้องจนได้สร้างตอนจบที่ยาวเป็นพิเศษออกมา
เรื่องนี้ยังเป็นซีรีส์ที่มีการเล่าเรื่องทะเยอทะยานมากเรื่องหนึ่งในช่วงที่ออกฉาย แม้ว่าที่จริงแล้วรูปแบบการเล่าเรื่องแบบสลับไปมากับหลายตัวละครจะไม่ใช่ของใหม่ เพราะมีหลายเรื่องที่ใช้วิธีนี้มาก่อน ไม่ว่าจะเป็น Game of Throne และ Hero ก็ใช้วิธีนี้ เพียงแต่เรื่องนี้ใช้วิธีการเล่าเรื่องของตัวละครหลักทั้ง 8 คนที่ให้เข้ามาเชื่อมกันผ่านทางจิตเดียวกัน ซึ่งในแต่ละส่วนต้องอาศัยการเขียนบทและการเล่าเรื่องที่ชัดเจนมาก ไม่เช่นนั้นคนจะดูไม่รู้เรื่องเอาเลย แต่ถ้าเริ่มชินกับการดูเรื่องนี้แล้ว นี่จะเป็นซีรีส์ชั้นเยี่ยมที่ดูสนุกมาก
สำหรับข้อดีของซีรีส์เรื่องนี้มีหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็น การเขียนบท ที่มีความหลากหลาย เส้นเรื่องของตัวละครทั้ง 8 มีความน่าสนใจ น่าติดตาม เพียงแต่มีสไตล์ที่แตกต่างกันไป เช่น คนที่ชอบดูแนวตำรวจสืบสวน บู๊เก่ง ก็อาจจะสนุกกับเส้นเรื่องของวิลล์ คนที่ชอบแนวผู้หญิงเอเชียสุดแกร่งบู๊แหลก ก็อาจจะชอบเรื่องของซัน คนที่ชอบตัวเอกเป็นคนผิวสีใสซื่อที่พยายามต่อสู้กับผู้มีอิทธิพลในท้องถิ่น ก็อาจจะชอบเรื่องของแคปฟิอัส คนที่ชอบแนวตัวเอกสายโหด จารกรรม ก็อาจจะชอบวูล์ฟกัง และพวกกลุ่ม LGBT ก็อาจจะชอบเส้นเรื่องของโนมิที่เสมือนเป็นตัวแทนของพวกเขาด้วย
ในด้านการแสดง ถือว่ายอดเยี่ยมมาก ตัวละครทั้ง 8 คนมาจากต่างเชื้อชาติ แต่เวลาแต่ละคู่อยู่ด้วยกันกลับมีเคมีที่เข้ากันได้อย่างไม่น่าเชื่อ แม้อาจจะไม่ใช่ทุกคู่ แต่หลายคู่กลับลงตัวมาก ซึ่งก็ไม่ได้แปลว่าต้องเป็นคู่รักกันเสมอไป เช่น การเข้าฉากของ ซัน และ แคปฟิอัส หรือ การเข้าฉากของ วูล์ฟกัง และ ลีโต้ ซึ่งรู้สึกได้ถึงมิตรภาพที่แต่ละคนมีให้กัน แม้ว่าเดิมพวกเขาจะไม่รู้จักกันมาก่อน
อีกจุดที่ซีรีส์เหมือนจะพยายามสื่อถึงคนดูก็คือ การเป็นตัวแทนหรือกระบอกเสียงที่ต้องการเรียกร้องความเป็นธรรมและความเท่าเทียมให้กับกลุ่มคนที่ถูก “มองข้ามจากสังคม” ที่ศัพท์ทางวิชาการมักเรียกว่าพวกคนชายขอบ คนตัวเล็กในสังคม ไม่ว่าจะเป็น LGBT รักร่วมเพศ คนผิวสี รวมถึงคนไร้พลังที่ถูกผู้มีอำนาจกดขี่เอาไว้ ซึ่งสารตรงนี้ก็มีการพูดถึงอยู่ตลอดเรื่อง แล้วตัวซีรีส์ยังมีลักษณะของการเป็นตัวแทนทางอารมณ์ที่บอกคนทั่วโลกว่า พวกเขาไม่ได้อยู่เดียวดาย ทุกคนต่างก็มีพรรคพวกอยู่
ด้านเพลงประกอบในเรื่องก็ทำได้ดีมาก เข้ากับแต่ละฉาก รวมถึงงานโปรดักชั่น ที่จัดว่าค่อนข้างอลังการและใช้ทุนสูงมากกว่าซีรีส์ Netflix ทั่วไป รวมถึงด้านงาน CG กราฟิก อยู่ในระดับดี และที่ดีเกินคาดคือทำฉากบู๊ ฉากแอ็คชั่นออกมาได้สนุกกว่าซีรีส์แนวแอ็คชั่นหลายเรื่องอีกครับ (ที่ชัดเจนคือ ฉากแอ็คชั่นทำออกมาได้ดีกว่าซีรีส์แนวซุปเปอร์ฮีโร่ทั้งของ DC และ Marvel ซะอีก)
ส่วนข้อด้อยก็มีพอสมควรครับ จุดหลักๆเลยก็คือ การเดินเรื่องที่ “มีความพยายามเล่าเรื่องราวแยกย่อยต่างๆเยอะเกินไป” ทำให้การเดินเรื่องในบางตอน มีส่วนที่ไม่จำเป็นค่อนข้างเยอะ ซึ่งไม่ใช่ว่าเรื่องราวแยกย่อยเหล่านั้นไม่ดี เพียงแต่มันทำให้การเดินเรื่องบางตอนไม่กระชับ แถมทำให้เกิดสภาพ “กั๊ก” เรื่องราวบางจุดเอาไว้ นี่ก็น่าจะเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ซีรีส์ถูกสั่งตัดจบในซีซัน 2 จนแฟนๆเดนตายต้องรวมพลังกันออกมาเรียกร้อง ทำให้ทีมสร้างได้ทำตอนจบเป็นพิเศษออกมาอีกหนึ่งตอนเพื่อสรุปเรื่องราวทั้งหมด
ข้อด้อยอีกจุดคือ มันอาจจะเป็นซีรีส์ที่ต้องการเรียกร้องให้กับ LGBT มากเกินไปจนบางมุมดูเหมือนล้น ซึ่งต้อยอมรับว่ามีบางฉากที่คนดูบางกลุ่มอาจจะไม่ชอบไปเลย เช่น ฉากเรต 18+ ของ LGBT ที่มีการใส่แทรกมาตลอดเรื่อง
สรุปในภาพรวมแล้ว เรื่องนี้นับว่าเป็นซีรีส์ระดับ TOP ใน Netflix ทั้งในด้านผลงานเก่าของผู้กำกับ งานโปรดักชั่น ชื่อเสียง แนวคิด แต่มันอาจจะไม่เหมาะสำหรับคนดูทุกเพศทุกวัยมากนัก แต่ก็จัดว่าเป็นหนึ่งในซีรีส์ที่แนะนำอันดับต้นๆใน Netflix เช่นกันครับ
ติดตามบทความทั้งหมดของผู้เขียนคลิกที่นี่
Reference Website