The Crown (Netflix) รีวิว ซีรีส์อิงประวัติศาสตร์ อังกฤษ ราชวงศ์วินเซอร์ ที่เสี่ยงถูกฟ้องที่สุด
The Crown (Netflix)
สรุป
คนชอบประวัติศาสตร์ต้องดู เรื่องราวนำเสนออุปสรรคมากมายหลังการขึ้นครองราชย์ของ ควีนเอลิซาเบธ เรื่องชีวิตคู่ที่ซับซ้อนกับเจ้าชายฟิลลิป แฉเบื้องลึกและข่าวอื้อฉาวในราชวงศ์วินเซอร์สมัยนั้นชนิดไม่ปราณีต่อบุคคลที่มีตัวตนจริงที่เกี่ยวข้องกันเลย แต่คนทั่วไปดูแล้วเข้าใจตามได้
Overall
9.5/10User Review
( vote)Pros
- โปรดักชั่นสุดอลังการ ฉาก สถานที่ จัดเต็ม
- นักแสดง ทั้งรุ่นกลางและใหญ่ ทรงพลังมาก และเคมีตัวละครสูงมาก
- การจับเหตุการณ์สำคัญในประวัติศาสตร์มาเล่าให้เข้าใจง่าย
- เพลงประกอบ OST ชั้นเยี่ยม ระทึกใจ โดย Hans Zimmer
- ไม่จำเป็นต้องคนชอบประวัติศาสตร์เท่านั้น คนทั่วไปก็ดูแล้วเข้าใจได้
Cons
- ซีรีส์เล่าผ่านมุมมองความเป็นคนอังกฤษยุคนั้นสูงมาก คนไทยอาจจะไม่อิน
- ควรต้องมีพื้นฐานทางประวัติศาสตร์อังกฤษสมัยนั้นบ้าง
- บางเรื่องเป็นการหยิบเอาข่าวลือที่เกิดขึ้นในสมัยนั้นมีเล่าเชิงลึก ที่อาจจะตีความผิดก็ได้
The Crown (Netflix) ซีรีส์อิงประวัติศาสตร์ อังกฤษ ราชวงศ์วินเซอร์ (Windsor) ซึ่งเป็นซีรีส์ชื่อดังที่มีโปรดักชั่นสุดอลังการ ขณะเดียวกันก็เสี่ยงต่อการถูกฟ้องมากที่สุดอันดับต้น ๆ ในโลกด้วย
เดอะคราวน์ ถือว่าเป็นซีรีส์ระดับเรือธงชั้นแนวหน้าของ Netflix ขณะเดียวกันก็เป็นซีรีส์ที่พาดพิงชีวิตบุคคลจริงมากมาย ชนิดที่หากจะเสี่ยงต่อการถูกฟ้องมากที่สุดในโลกก็ไม่แปลกเลย ซึ่งสาเหตุหลักเพราะซีรีส์เรื่องนี้ ได้จับเอาเรื่องราวในหน้าประวัติศาสตร์และเจาะเบื้องลึกของ ราชวงศ์วินเซอร์ (Windsor) รวมถึงการเจาะไปยังชีวิตสมรสของ ควีนเอลิซาเบธ และ เจ้าชายฟิลิปส์ เท่านั้นไม่พอ ยังรวมถึงชีวิตและเรื่องราวอื้อฉาวที่เคยเป็นข่าวครึกโครมจนถึงขั้นเกือบจะสั่นคลอนราชวงศ์และประเทศอังกฤษในยุคนั้นอยู่หลายครั้ง
The Crown รีวิว
สำหรับการนำเสนอเรื่องราวในซีรีส์ จะเน้นเจาะไปยังประเด็นละเอียดอ่อนของบุคคลสำคัญในประวัติศาสตร์อังกฤษ และ หลายคนก็ยังคงมีชีวิตอยู่ หลายคนที่ได้ชื่อว่าเป็นคนสำคัญที่มีภาพลักษณ์ในเชิงบวก แต่ซีรีส์เรื่องนี้ตีแผ่ในมุมที่เป็นสีเทา ซึ่งหลายมุมที่เกิดขึ้นนั้น แม้ว่าจะเป็นข่าวใหญ่อื้อฉาวตั้งแต่ในยุค 40-70 แต่คนรุ่นใหม่ก็อาจจะไม่เคยได้ยินหรือก็อาจหลงลืมไป
แต่ที่ร้ายกาจมากคือ ซีรีส์เรื่องนี้กลับ “กล้าที่จะขุดเรื่องอื้อฉาวเหล่านั้นกลับมาใหม่” ให้กลับมาออกสู่สายตาคนดูทั่วโลกอีกครั้ง แล้วที่สำคัญคือ หลายเรื่องราวและเหตุอื้อฉาวที่ถูกนำเสนอในซีรี์สเรื่องนี้ แต่ละเรื่องเคยสร้างความสุ่มเสี่ยงและสั่นคลอนต่อภาพลักษณ์ของราชวงศ์วินเซอร์ จนถึงขั้นอาจจะทำให้ล่มสลายได้ บางเรื่องก็เป็นเหตุการณ์ที่คนจำนวนมากไม่เคยทราบมาก่อน
ในด้านการแสดง และโปรดักชั่น คือจุดแข็งที่สุดของซีรืส์เรื่องนี้เลยก็ว่าได้ โดยเฉพาะพลังการแสดงของ Clair Floy ที่กลายเป็นภาพจำในบทควีนเอลิาเบธวัยสาวไปแล้ว นักแสดงนำคนอื่นในเรื่องก็เช่นกัน ด้านโปรดักชั่น ถือว่าเป็นซีรีส์ที่จัดเต็มในด้านสถานที่ การเซตติ้งฉากพิธีการต่างๆ ไปจนถึงดนตรีประกอบที่ได้ Han Zimmer มาดูแล การันตีความอีพิคได้
สำหรับคนนใจประวัติศาสตร์อังกฤษ และเรื่องราวในราชวงศ์วินเซอร์ ต้องดูเรื่องนี้เลยครับ ส่วนคนที่ไมได้สนใจแนวนี้ ก็สามารถรับชมได้ เพราะตัวเรื่องมีการนำเสนอให้ย่อยง่ายพอสมควร เพียงแต่ถ้าไม่มีพื้นฐานเรื่องของสังคมอังกฤษในสมัยนั้นไว้บ้าง อาจจะมึนงงกับตรรกะความคิดของผู้คนในเรื่องได้เหมือนกัน
The Crown สปอยล์
ในส่วนของเหตุการณ์อื้อฉาว (ในสมัยนั้น) ทั้งที่มีการเปิดเผยและไม่ได้เปิดเผยมากนักต่อสาธารณชน แต่ซีรีส์เรื่องนี้กลับตีแผ่และเล่าในมุมมองที่บางครั้งดูแล้วก็ต้องสะดุ้งหรือร้องอุทานว่า “กล้าเล่าขนาดนี้เลยเรอะ!!!” ไม่ว่าจะเป็น
- ชีวิตคู่ระหว่าง ควีนเอลิซาเบธ และ เจ้าฟ้าชายฟิลิปส์ (ดยุคแห่งเอดินบะระ) ที่ไม่ได้ราบรื่นและสวยงามแบบหน้าที่เห็นในหน้าฉากหรือบนจอโทรทัศน์
- การสละราชบัลลังก์เพื่อเลือกแต่งงานกับผู้หญิงม่ายชาวอเมริกันของ พระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 8 ซึ่งถูกตราหน้าว่าเป็นการทอดทิ้งราชวงศ์และการปฏิบัติภาระหน้าที่เพื่อประชาชน ในภาวะที่อังกฤษต้องการผู้นำอย่างมาก
- ปัญหาเรื่องการเลือกสามีและข่าวฉาวของ เจ้าหญิงมากาเร็ต
- การลงภาพเปลือยไหล่ของ เจ้าหญิงมากาเร็ต บนหนังสือพิมพ์ ซึ่งคนสมัยนี้อาจจะไม่ได้รู้สึกอะไรนัก แต่มันคือเรื่องสะท้านแผ่นดินในสมัยนั้น
- ความขัดแย้งระหว่างควีนและดยุค เรื่องการเลือกชื่อสกุลให้กับพระโอรสและพระธิดา
- ความพยายามเปลี่ยนแปลงภายในราชวงศ์ ทั้งธรรมเนียม และการปฏิบัติตัวต่าง ๆ ให้เข้าถึงประชาชนมากขึ้น
- ความชราภาพและถูกมองว่าไร้ศักยภาพในการทำงานในฐานะนากยรัฐมนตรีแล้วของ วินสตัน เชอร์ชิล รัฐบุรุษผู้นำอังกฤษผ่านสงครามโลก
- ปัญหาเรื่องการปลดปล่อยและการต่อต้านจากประเทศอาณานิคมในทวีปแอฟริกา
- ปัญหาข่าวชู้สาวในชมรมสุภาพบุรุษของดยุคแห่งเอดินบะระ
แต่เรื่องราวดราม่าที่รุนแรงที่สุดในเรื่องทั้งหมด เห็นจะไม่พ้น การคบหากับฮิตเลอร์และนาซี ของ ดยุคแห่งวินเซอร์ หรือ อดีตคือ พระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 8 ของอังกฤษ ซึ่งแน่นอนว่านี่เป็นเรื่องที่รัฐบาลอังกฤษสมัยนั้นยอมรับไม่ได้ ที่สำคัญคือต่อมาก็ได้มีการเผยแพร่ภาพถ่ายการไปพบกับฮิตเลอร์ของดยุคแห่งวินเซอร์หลังจากได้สละราชบัลลังก์ลงแล้ว รวมถึงมีภาพที่พระองค์ไปเยี่ยมหน่วยตำรวจลับ และค่ายเอ๊าส์วิทซ์ ซึ่งต่อมาจะกลายเป็นนรกที่กักขังชาวยิวอีกด้วย ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นภาพถ่ายอันละเอียดอ่อนที่ส่งผลสั่นคลอนต่อราชวงศ์ได้
ถึงอย่างนั้นการเล่าเรื่องราวในซีรีส์เรื่องนี้ ก็ไม่ใช่จะโจมตีบุคคลที่ยังมีชีวิตอยู่ทั้งหมดแบบโหดร้ายไปซะทีเดียว แต่มีการเล่าให้เห็นในมุมที่คนดูอาจจะคาดไม่ถึงเกี่ยวกับภาระหน้าที่ และการตัดสินใจในภาวะต่าง ๆ ของตัวละครหลักในเรื่อง ที่เป็นแรงผลักดันนำไปสู่การกระทำต่าง ๆ ในเวลานั้น ไม่ว่าจะถูกหรือผิดก็ตามที แต่ก็เป็นหนึ่งในหน้าประวัติศาสตร์ที่น่าสนใจมากครับ
สำหรับในซีซัน 3 ทาง Netflix ก็ได้ประกาศนักแสดงที่จะเข้ามารับบทตัวละครต่างๆในซีซัน 3 ที่จะฉายในช่วงปลายปี 2019 นี้ ซึ่งจุดที่มีการเปลี่ยนแปลงหลักๆคือ มีการ Cast นักแสดงนำกันใหม่หลายคน เนื่องจากตัวละครหลักในเรื่องจาก ซีซัน 1-2 ที่มีอายุประมาณ 25-35 ปี กำลังจะกระโดดเข้าช่วงอายุวัยกลางคน ตั้งแต่ประมาณ 40 – 50 ปี ทำให้ต้องหานักแสดงที่มีอายุมากขึ้นมารับบทแทนเกือบหมด ซึ่งก็เป็นเรื่องน่าเสียดายอยู่บ้างเนื่องจากทีมนักแสดงหลักใน 2 ซีซันแรก ได้สร้างผลงานการแสดงที่ทรงพลังเอาไว้มาก และเคมีตัวละครยังยอดเยี่ยมด้วย โดยเฉพาะ Clair Foy ที่รับบท ควีนเอลิซาเบธ ตัวเอกของเรื่อง รวมถึง Matt Smith ที่รับบท เจ้าฟ้าชายฟิลิปส์ หรือ ดยุคแห่งเอดินบะระ พระสวามีของควีน ซึ่งทั้งสองคนมีพลังการแสดงและสื่อออกมาทางสีหน้าและแววตาได้ยอดเยี่ยมมาก
นอกจากนี้ก็มีข่าวออกมาว่า ซีซัน 3 ซึ่งถ่ายทำเรียบร้อยไปแล้ว อาจจะเล่าเรื่องราวโดยลดความดราม่าอื้อฉาวลงมา แต่นำเสนอในมุมที่เป็นกลางมากขึ้น
สำหรับในซีซัน 3 สามารถรับชมทั้งหมดได้แล้วใน Netflix ครับ
ชมตัวอย่าง The Crown (Netflix) Trailer
ติดตามบทความทั้งหมดของผู้เขียนคลิกที่นี่
Reference Website