รีวิว The Crown season 3 Netflix เมื่อโลกเปลี่ยน ราชวงศ์วินเซอร์ปรับ ย้อนรอยยุค 60-70
รีวิว The Crown season 3 Netflix เมื่อโลกเปลี่ยน ราชวงศ์วินเซอร์ปรับ ย้อนรอยยุค 60-70
ยังคงยอดเยี่ยม สมเป็นซีรีส์คุณภาพสูงของ Netflix
เล่าเรื่องราวเบื้องลึกภายในราชวงศ์วินเซอร์ ซึ่งมีหลายเรื่องที่คนทั่วไปคงคาดไม่ถึง บางเรื่องเป็นข่าวลือ บางเรื่องเป็นข้อมูลเชิงลึกที่ไม่ได้มีการเปิดเผยในช่วงเวลานั้น โปรดักชั่นอลังการ นักแสดงทรงพลัง เรื่องราวมีความเป็นอังกฤษสูงมาก
Overall
9.5/10User Review
( votes)Pros
- รักษาความเป็นซีรีส์คุณภาพระดับสูงสุดของ Netflix
- ยังคงกล้าแฉและตีแผ่เปิดเผยเรื่องราวเบื้องลึกในราชวงศ์วินเซอร์และรัฐบาลอังกฤษแบบคาดไม่ถึง
- แม้ว่าจะเปลี่ยนแปลงนักแสดงนำหลายคน แต่เคมีและพลังการแสดงยังเต็มเปี่ยม
- โปรดักชั่นอลังการ สถานที่ ฉาก ดนตรีประกอบ ทุกอย่างจัดเต็ม
- การเล่าเรื่องมีความกระชับ ทำให้ต่อให้ไม่เคยดู 2 ซีซันแรกมาก่อน ก็สามารถเริ่มดูจากซีซันนี้ยังได้
- ช่วยให้คนดูเข้าใจมากขึ้นว่า ทำไมราชวงศ์วิเซอร์ถึงยืนหยัดมาได้ในขณะที่หลายราชวงศ์ในยุโรปล่มสลายกัน
Cons
- มีหลายประเด็นเกี่ยวพันกับสังคมอังกฤษอย่างลึกซึ้ง ทำให้คนดูชาติอื่นอาจจะไม่อิน
- การเล่าเรื่องเน้นมุมของควีนเอลิซาเบธที่เป็นศูนย์กลางเรื่องมาก จนอาจจะมากไปในบางครั้ง
The Crown season 3 รีวิว การกลับมาของซีรีส์ประวัติศาสตร์อังกฤษสุดอลังการใน Netflix ว่าด้วยการแฉเรื่องราวเบื้องลึกใน ราชวงศ์วินเซอร์ (Windsor) โดยเล่าเรื่องราวผ่าน ควีนเอลิซาเบธ และ เจ้าชายฟ้าฟิลิปส์ กับบรรดาสมาชิกในราชวงศ์และผู้ที่เกี่ยวข้อง ซึ่งซีซันนี้จะเน้นไปที่การเล่าเรื่องราวของการเมืองอังกฤษยุคนั้นแบบทริลเลอร์ที่เข้มข้นเพิ่มขึ้นอีกขั้นด้วย
สำหรับ The Crown จากผลงานในซีซัน 1-2 ที่ผ่านมา ถือว่าเป็นซีรีส์คุณภาพเยี่ยมเรื่องดังที่ช่วยยกระดับให้กับทาง Netflix อย่างมาก ในแง่ของผลงานคุณภาพที่กล้าตีแผ่เรื่องเบื้องลึกภายในราชวงศ์วินเซอร์ของอังกฤษ
ส่วนใน The Crown ซีซัน 3 ยังคงนำเสนอเรื่องราวเบื้องลึกในราชวงศ์วินเซอร์ ที่ต้องผ่านร้อนผ่าวหนาวมากมายในช่วงวิกฤตต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นสังคมอังกฤษหลังจากผ่านสงครามโลกครั้งที่ 2 เรื่องปัญหาแรงงาน ปัญหามลภาวะ ความก้าวหน้าของเทคโนโลยีที่ส่งผลกระทบต่อชีวิตผู้คน ไปจนถึงการตื่นตัวของแนวคิดสังคมนิยม ฝ่ายซ้าย และลัทธิคอมมิวนิสต์ ซึ่งทั้งหมดทำให้เหล่าเชื้อพระวงศ์และสมาชิกที่เกี่ยวข้องในราชวงศ์วินเซอร์ต้องปรับตัวครั้งใหญ่เพื่อให้ยังอยู่รอดต่อไปได้
ซึ่งก่อนหน้านี้หลังจาก 2 ซีซันที่ผ่านมา ทางทีมผู้สร้างของเรื่องก็ออกมายอมรับว่าเรื่องนี้เป็นซีรีส์ที่เสี่ยงต่อการถูกฟ้องมากที่สุดเรื่องหนึ่งในโลก เนื่องจากหลายเหตุการณ์ที่ถูกนำเสนอในเรื่อง มีทั้งส่วนที่เป็นเรื่องข่าวลืออื้อฉาวระดับที่สั่นคลอนความมั่นคงของราชวงศ์ รัฐบาล และประเทศ แล้วเรื่องราวส่วนใหญ่ยังมีความเกี่ยวพันกับผู้คนจำนวนมาก บางส่วนเสียชีวิตไปแล้ว แต่หลายคนก็ยังมีชีวิตอยู่ รวมถึงลูกหลานของคนที่เกี่ยวข้องด้วย
ในแง่การเดินเรื่อง จาก 2 ซีซันที่ผ่านมา จะเน้นไปที่เบื้องหลังชีวิตสมรสของ ควีนเอลิซาเบธ และ เจ้าชายฟิลิปส์ เรื่องอื้อฉาวของเจ้าหญิงมาร์กาเร็ต การเลี้ยงดูเจ้าฟ้าชายชาร์ล แล้วตัดสลับกับสถานการณ์ทางการเมืองของอังกฤษในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 และปัญหาต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องในเวลานั้น
สำหรับการเดินเรื่องในซีซัน 3 จะเน้นไปที่ช่วงชีวิตวัยกลางคนของควีนเอลิซาเบธ และ เจ้าชายฟิลิปส์ หลังจากอภิเษกสมรสแล้วใช้ชีวิตคู่ด้วยกันมานานกว่า 15-20 ปี โดยเรื่องจะเริ่มเล่าจากช่วงกลางทศวรรษ 60 นับตั้งแต่การชนะเลือกตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีของ แฮโรลด์ วิลสัน ตัวแทนจากพรรคแรงงาน แล้วควบไปกับการเสียชีวิตของ วินสตัน เชอร์ชิล นายกรัฐมนตรี และรัฐบุรุษของอังกฤษ ที่ช่วยนำพาประเทศผ่านสงครามโลกครั้งที่ 2 มาได้ ซึ่งการตายของเชอร์ชิล ก็เป็นเสมือนจุดสิ้นสุดของรัฐบาลอังกฤษในยุคเก่า และเข้าสู่ยุคการบริหารของคนรุ่นใหม่พร้อมแนวคิดใหม่ไปด้วย
ส่วนจุดที่ซีรีส์ยังคงทำได้ดีเสมอต้นเสมอปลายมาจาก 2 ซีซันแรก นั่นคือการเล่าเรื่องราวเบื้องลึกไปจนถึงตีแผ่ภายในราชวงศ์วินเซอร์ ซึ่งเชื่อว่ามีอยู่หลายเรื่องที่คนทั่วไปคงคาดไม่ถึง โดยบางเรื่องเป็นข่าวลือ บางเรื่องเป็นข้อมูลเชิงลึกที่ไม่ได้มีการเปิดเผยในช่วงเวลานั้น และมีความละเอียดอ่อนอย่างมาก
ตรงนี้มีการ Spoil เนื้อหาบางส่วน แต่ก็เป็นเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์ที่เกิดขึ้นจริงในสมัยนั้น
– กรณีที่มีสายลับ KGB เข้ามาอยู่ในพระราชวังแล้วทำงานอยู่เป็นเวลานานโดยที่หน่วยสืบราชการลับของอังกฤษไม่ทราบเรื่อง
– ปัญหาในชีวิตสมรสของเจ้าหญิงมาร์กาเร็ต
– ปัญหาเศรษฐกิจในประเทศที่การแก้ไขปัญหามีความละเอียดอ่อน
– มุมมองด้านแนวคิดทางการเมืองของสมาชิกในราชวงศ์
– การตัดงบประมาณที่เกี่ยวข้องกับราชวงศ์ ไปจนถึงความแคลงใจของการใช้ภาษีประชาชน
– เรื่องของเจ้าฟ้าหญิงอลิซ พระราชมารดาของเจ้าฟ้าชายฟิลิปส์
– เบื้องหลังความพยายามยึดอำนาจรัฐบาลอังกฤษที่ล้มเหลวเรื่องเศรษฐกิจในกลางยุค 60
– การเฟื่องฟูของลัทธิชาตินิยมในเวลส์
– กรณีของดยุคแห่งวินเซอร์และภรรยาคือ วอลเลส ซิมป์สัน ซึ่งมีความเกี่ยวพันกับนาซี
– จุดเริ่มต้นความสัมพันธ์ระหว่าง เจ้าฟ้าชายชาร์ล และ คามิลล่า
จุดเด่นสำคัญอีกอย่างคือ การเก็บรายละเอียดต่าง ๆ โปรดักชั่นในส่วนของสถานที่ การตัดต่อ ไปจนถึงเพลงประกอบชั้นเยี่ยมของ Hans Zimmer ที่เข้ากับบรรยากาศของเรื่องในแต่ละซีนที่มีความแตกต่างกัน หรือ Contrast กันภายใต้สถานการณ์บางอย่างที่มีการเปรียบเทียบให้เห็นภาพชีวิตของควีนเอลิซาเบธ กับ เจ้าหญิงมาร์กาเร็ต
แล้วยังมีอีกจุดที่เรื่องทำได้ดีมากคือ พลังของนักแสดงนำ ซึ่งในส่วนของตัวละครหลักหลายคนมีการเปลี่ยนนักแสดงจากใน 2 ซีซันที่ผ่านมา เพื่อให้เอื้อต่อการรับบทของตัวละครที่สูงวัยในเรื่องมากขึ้นไปด้วยครับ
ซึ่งในซีซัน 3 นี้ สามารถรับชมได้แล้วทาง Netflix
แนะนำตัวละครสำคัญในซีซัน 3
สำหรับตัวละครสำคัญในซีซัน 3 ลองมาดูกันว่ามีใครบ้างครับ
ควีนเอลิซาเบธ ราชินีที่พยายามรักษาขนบธรรมเนียมและราชวงศ์วินเซอร์ให้อยู่รอดท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงของโลก ซึ่งไม่เพียงปัญหาของประเทศ แต่ยังมีปัญหาภายในราชวงศ์อีกด้วย
เจ้าฟ้าชายฟิลิปส์ ดยุคแห่งเอดินบะระ พระสวามีของควีน ผู้ต้องรบบทบาทคอยหนุนหลังควีนมาตลอดตั้งแต่วัยหนุ่ม มีแนวคิดสมัยใหม่ที่พยายามนำเข้ามาสู่ราชวงศ์
เจ้าหญิงมาร์กาเร็ต น้องสาวของควีนเอลิซาเบธ เป็นเจ้าหญิงที่มีบุคลิกตรงข้ามกับควีนเกือบทุกอย่าง และมักเป็นข่าวบ่อยครั้ง
เจ้าฟ้าชายชาร์ล พระราชโอรสองค์โตของควีน ผู้ต้องเริ่มแสดงบทบาทการเป็นตัวแทนของควีน และแบกรับภาระหน้าที่ในอนาคตเอาไว้
คามิลล่า ปาร์คเกอร์ โบลส์ สาวสังคมทรงเสน่ห์ผู้เป็นคนรักของเจ้าฟ้าชายชาร์ล เรื่องราวของเธอทำให้เกิดเหตุการณ์ภายหลังตามมามากมาย
เจ้าฟ้าหญิงแอนน์ พระธิดาองค์เดียวของควีนเอลิซาเบธและเจ้าฟ้าชายฟิลลิปส์ เป็นธิดาสุดที่รักของบิดาและมารดา มีความสามารถหลายด้าน ทั้งกีฬาและการศึกษา
นายกรัฐมนตรีแฮโรด์ วินสัน นายกรัฐมนตรีจากพรรคแรงงานที่ได้ชนะการเลือกตั้งแล้วขึ้นมารับตำแหน่งเพื่อแก้ปัญหาของประเทศในช่วงวิกฤตทางเศรษฐกิจ
ในส่วนของจุดด้อยในซีซัน 3 พบว่าก็มีอยู่บ้าง ด้วยการนำเสนอเรื่องราวในแง่มุมที่เป็นอังกฤษอย่างมาก ทำให้คนที่ไม่ชินกับวัฒนธรรมหรือแนวคิดแบบอังกฤษก็อาจจะไม่ชิน แล้วยังมีการเล่าเรื่องในรูปแบบที่ไม่ค่อยปราณีสำหรับคนที่ไม่เคยรู้เรื่องราวในประวัติศาสตร์อังกฤษช่วงนั้นมาก่อน เพียงแต่ตรงนี้การเล่าเรื่องใน The Crown ทั้ง 2 ซีซันที่ผ่านมา ก็มีบอกปูเรื่องราวและตัวละครให้แน่นหนาไว้บ้างแล้ว ซึ่งคนที่ติดตามมาตลอดก็น่าจะพอคุ้นชินกับสไตล์ของเรื่อง อีกจุดคือ การเล่าเรื่องราวที่ตัวเอกอย่างควีนเอลิซาเบธเป็นศูนย์กลางหลักของเรื่องมาก แล้วพยายามหาเหตุผลต่างๆมาสนับสนุนการกระทำและแนวคิดต่างๆที่อาจจะทำให้รู้สึกว่าซีรีส์พยายามเข้าข้างควีนมากเกินไป ถ้าเทียบกับตัวละครอื่นๆ แต่ตรงนี้อาจจะถือว่าเป็นเรื่องปกติของซีรีส์เกือบทุกเรื่องอยู่แล้วที่ต้องนำเสนอเข้าข้างตัวเอกของเรื่องครับ
สำหรับคนที่สนใจรับชม The Crown ซีซัน 1-3 สามารถรับชมได้ทาง Netflix ครับ
The Crown Season 3 Netflix Trailer
https://www.youtube.com/watch?v=vLXYfgpqb8A
ติดตามบทความทั้งหมดของผู้เขียนคลิกที่นี่
Reference Website