The King Netflix รีวิว หนังวีรกรรม Henry V มีโรเบิร์ต แพททินสัน ร่วมแสดง กับ สงคราม 100 ปี อังกฤษ-ฝรั่งเศส
The King Netflix
สรุป
หนังประวัติศาสตร์ของ Netflix การขึ้นครองบัลลังก์ของพระเจ้าเฮนรี่ที่ 5 ซึ่งการเล่าเรื่องไม่ปราณีกับคนดูที่ไม่รู้เรื่องราวในยุคนั้นเอาซะเลย แม้ว่าโดยเนื้อหาจะน่าสนุกก็ตาม โปรดักชั่นมีปัญหาในแง่งานภาพมืดมากจนดูยากบางฉาก แต่นำเสนอบรรยากาศของยุคกลางได้ดีมาก และนักแสดงนำยอดเยี่ยม ทั้งทิโมธี ซาลาเมต์ และ โรเบิร์ต แพททินสัน
Overall
7.5/10User Review
( vote)Pros
- หนังประวัติศาสตร์อังกฤษยุคกลางที่มีเนื้อหาและประเด็นหลักน่าสนใจ
- อ้างอิงประวัติ พระเจ้าเฮนรี่ 5 ถ้าใครชอบเรื่องราวนี้จาก วิลเลียม เช็กสเปียร์ สามารถดูได้เลย
- โรเบิร์ต แพททินสัน แสดงได้ดี สลัดภาพแวมไพร์ในทไวท์ไลท์ออกได้หมดจด
- ฉากฉากสงครามดิบเถื่อน ทุลักทุเล นำเสนอการต่อสู้ของอัศวินที่ไม่ได้เท่ แต่ดูน่าเชื่อ สมจริง
Cons
- โปรดักชั่นดูมีปัญหาในแง่ของงานภาพที่มืดมากจนดูหลายฉากยาก
- หนังไม่สามารถใช้อ้างอิงประวัติศาสตร์ได้ เพราะมีการดัดแปลงพอสมควร
- หนังทำมาเสมือนคนดูเข้าใจเรื่องของพระเจ้าเฮนรี่ที่ 5 อยู่แล้ว จึงอาจจะไม่ใช่หนังที่คนไทยชอบ
- ใครคาดหวังฉากสงครามยิ่งใหญ่ จะมีให้ดูแค่ตอนท้ายเรื่อง
- ตัวหนังไม่ได้ปูมาให้เราเชื่อถือเท่าไหร่ว่า ทำไมพระเจ้าเฮนรี่ที่ 5 ถึงมีความสามารถเกินอายุ
The King Netflix ภาพยนตร์ที่อาจจะเรียกได้ว่าเป็นการเชิดชูวีรกรรมของ พระเจ้าเฮนรี่ที่ 5 (Henry V) ซึ่งเป็นกษัตริย์อังกฤษผู้เข้าร่วมในสงคราม 100 ปี อังกฤษ-ฝรั่งเศส และมีชื่อเสียงมากในบรรดากษัตริย์ของอังกฤษ
The King เป็นผลงาน กำกับ และ เขียนบท โดย David Michôd ซึ่งเข้าใจว่านี่คือผลงานกำกับเต็มตัวเองเรื่องแรก หลังจากเคยทำหน้าที่เป็นคนเขียนบทให้กับผลงานอย่าง Animal Kingdom, The Rover, War Machine (ทั้งหมดสามารถรับชมได้ทาง Netflix)
สำหรับ The King นับว่าเป็นผลงานที่ดัดแปลงและอ้างอิงเนื้อหามาจาก Henry V บทละครเรื่องยิ่งใหญ่ของ วิลเลียม เช็คสเปียร์ กวีชื่อดังชาวอังกฤษ ซึ่งเป็นผู้สร้างสรรค์ผลงานอมตะมากมายไว้ให้โลก ไม่ว่าจะเป็น Romeo & Juliet, Hamlet, The Midsummer Night Dream ฯลฯ
เรื่องย่อ
เรื่องราวในหนังจะเริ่มจับเหตุการณ์ในคริสต์ศตวรรษที่ 14-15 ในยุคสมัยที่ อังกฤษ และ ฝรั่งเศส กำลังทำสงคราม 100 ปี โดยจะบอกเล่าเรื่องราวตั้งแต่สมัยยังเป็น เจ้าชาย เฮนรี่ “ฮัล” (รับบทโดย ทิโมธี ชาลาเม็ต) โอรสองค์โตของพระเจ้าเฮนรี่ที่ 4 กษัตริย์แห่งอังกฤษ ซึ่งเป็นเจ้าชายที่มีอุปนิสัย เสเพล ชอบการดื่มสุรา และผู้หญิง และยังมีความขัดแย้งกับบิดาตนเอง ทำให้ตำแหน่งรัชทายาทไปอยู่กับโธมัสที่เป็นน้องชาย แม้ว่าที่จริงแล้วเจ้าชายเฮนรี่จะเป็นคนหนุ่มที่มีความสามารถ ทั้งในด้านการทำสงครามและทัศนคติทางการเมืองที่แตกต่างจากบิดาตนเอง
สำหรับสถานการณ์ของอังกฤษในเวลานั้น กำลังเผชิญหน้ากับการลุกฮือก่อกบฏภายในจากสก็อตแลนด์และเวลส์ ในขณะที่พระเจ้าเฮนรี่ที่ 4 ล้มป่วยและสิ้นลง เจ้าชายโธมัสก็เสียชีวิตในสนามรบ ทำให้ เจ้าชายเฮนรี่ ผู้ซึ่งไม่ได้ตั้งใจจะขึ้นเป็นกษัตริย์ ได้รับสืบทอดราชบัลลังก์ต่อมาแล้วกลายเป็น พระเจ้าเฮนรี่ที่ 5 เรื่องราวจึงได้เริ่มขึ้น
เรื่องราวในหนังช่วงแรกจะโฟกัสที่ความขัดแย้งภายในของอังกฤษ ซึ่งเฮนรี่ต้องเผชิญตั้งแต่ยังไม่ได้ขึ้นครองราชย์ เมื่อเขาขึ้นเป็นกษัตริย์ตั้งแต่ยังหนุ่ม ก็พยายามที่จะแก้ไขปัญหาหลายอย่างด้วยมุมมองและวิธีการที่แตกต่างจากบิดาตนเอง
ส่วนในช่วงที่สอง ซึ่งถือว่าเป็นเส้นเรื่องหลักอีกเส้น ก็คือความขัดแย้งกับฝรั่งเศส ซึ่งมีโดแฟ็งแห่งฝรั่งเศส (รับบทโดย โรเบิร์ต แพททินสัน พระเอกดังจาก ทไวท์ไลท์) เป็นคู่ปรับคนสำคัญ
สำหรับปัญหาของหนังคือ การเล่าเรื่องราวในช่วงนี้ ไม่ได้ปราณีกับคนดูที่ไม่ได้ทราบพื้นหลังภายในอังกฤษเวลานั้นเอาซะเลย แม้ว่าตัวหนังจะมีการเดินเรื่องที่ค่อนข้างกระชับ แต่มันกลายเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ได้ทราบประวัติศาสตร์ในช่วงนั้นมาบ้าง จะมีปัญหาพอสมควร เพราะเรื่องไม่ได้มีการปูพื้นให้คนดูทราบเรื่องความขัดแย้งต่าง ๆ ในอังกฤษ รวมถึงกับฝรั่งเศสมากนัก
ปัญหาอีกจุดที่เกิดขึ้นคือ การปูเรื่องราวส่วนตัวของพระเจ้าเฮนรี่ที่ 5 ซึ่งพบว่าตัวหนังไม่ได้ทำให้คนดูรู้สึกเกิดความน่าเชื่อถือนักว่า เจ้าชายหนุ่มจอมเสเพลและปลงโลกจากในช่วงต้นเรื่อง ในเวลาเพียงไม่นาน เขากลับกลายมาเป็นนักการทหาร นักรบ และนักการเมืองชั้นยอดได้ยังไง ซึ่งทั้งหมดนี้กลับใช้เวลาภายในไม่กี่ฉากของหนังเท่านั้น แต่ตรงนี้ก็พอเข้าใจได้ว่า เพราะตัวหนังเองไม่มีเวลาปูเรื่องนี้ตรงนี้มากนัก เนื่องจากความขัดแย้งและสถานการณ์ภายในตัวหนังเองก็มีความซับซ้อน และโดยบริบทของเรื่องเองก็ไม่ได้ให้เวลาตัวละครตั้งหลักมากอยู่แล้ว เมื่อเจ้าชายหนุ่มคนนี้ต้องขึ้นมาเป็นกษัตริย์ปกครองอังกฤษในช่วงเวลาที่ยำแย่ และปัญหามากมายจากสมัยของพระบิดา
นอกจากนี้ ตัวหนังยังมีการดัดแปลงประวัติศาสตร์บางอย่าง ดังนั้นถ้าจะเอาความถูกต้องทางประวัติศาสตร์จากในหนังเรื่องนี้คงทำไม่ได้
มีจุดที่หนังทำออกมาได้ค่อนข้างดิบดี นั่นคือฉากดวลกันระหว่าง เจ้าชายเฮนรี่ กับ ฮอตสเปอร์ ที่เกิดขึ้นในช่วงต้นเรื่อง เป็นฉากการดวลกันระหว่างอัศวินในชุดเกราะเหล็กที่ทำออกมาได้ชวนน่าขบขัน ปนสังเวช ของอัศวินในชุดเกราะสองคนที่ต่อสู้ตะลุมบอนกันในระดับมวยวัด เรียกว่าเทคนิคชั้นเชิงในฐานะนักดาบหรืออัศวินแทบไม่ต้องมีกันเลย แต่ก็ถือว่าเป็นความกล้าของทีมสร้างที่ทำให้ฉากนี้ออกมาดูมีความดิบ และสมจริงอย่างไม่น่าเชื่อ ซึ่งเป็นสิ่งตรงกันข้ามของฉากดวลดาบระหว่างยอดอัศวินในหนังที่ใช้ฉากแนวยุคกลางเรื่องอื่น ๆ ซึ่งฉากสงครามในช่วงท้ายเรื่อง ก็ถือว่าเป็นจุดที่ทำได้ดี
แต่ข้อด้อยร้ายแรงของหนังเรื่องนี้คือ งานภาพ และโปรดักชั่น ที่ไม่รู้ว่าหลายฉากจะทำให้งานภาพของหนังมันมืดเกินไปไหน รวมถึงการกำกับภาพบางจุดที่ไม่ได้ช่วยให้ขับเน้นพลังของนักแสดงออกมาอย่างที่ควรเลย
ส่วนการแสดงของ โรเบิร์ต แพททิสัน ที่ต้องมารับบท โฟแด็งแห่งฝรั่งเศส ซึ่งถือว่าเป็นศัตรูคู่ปรับของเฮนรี่ในเรื่องนี้ ก็ได้ปล่อยพลังการแสดงออกมาได้ยอดเยี่ยม จนเราสามารถพูดได้เต็มปากว่าเขาสลัดภาพลักษณ์ของ แวมไพร์หนุ่มจากในเรื่องทไวไลท์ออกไปได้หมดจดเลยทีเดียว
สรุปในภาพรวมแล้ว หนังเรื่องนี้น่าจะเข้าถึงและอินได้มากสำหรับคอหนังประวัติศาสตร์อังกฤษในยุคกลาง หรือคนที่มีพื้นความรู้เกี่ยวกับยุคสมัยนั้นมาบ้าง รวมถึงคนที่ชื่นชอบเรื่องราวของ พระเจ้าเฮนรี่ที่ 5 หรือ Henry V ซึ่งถือว่าเป็นหนึ่งในกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่พระองค์หนึ่งของอังกฤษ ซึ่งตรงนี้ความเห็นส่วนตัวผู้เขียนรู้สึกเสียดายเล็กน้อยว่า ถ้าสร้างออกมาเป็นซีรีส์ หรือเป็นลิมิเต็ดซีรีส์ ที่มีความยาว 6-8 ตอน แล้วสร้างสัก 2-3 ซีซัน เราอาจจะได้สุดยอดซีรีส์แนวอิงประวัติศาสตร์ยุคกลางออกมาอีกเรื่องเลยก็ว่าได้ ซึ่งแม้ว่าตัวหนังจะทำได้ดี แต่ก็ยังมีข้อจำกัดอยู่พอสมควร
นอกจากนี้ถ้าหากไม่ใช่คอหนังแนวนี้ เชื่อว่าจะมีปัญหาในการรับชมพอสมควรครับ เพราะตัวหนังก็ไม่ใช่แนวสงครามย้อนยุคอลังการจัดเต็มแบบหนังขึ้นหิ้งอย่าง Kingdom of Heaven และก็ไม่ใช่แนวอีพิคยอดคนแบบ Brave Heart, Gladiator, 300 ซะด้วย แต่ถ้าเป็นแฟน ๆ ที่อยากดูการแสดงของ โรเบิร์ต แพททิสัน ซึ่งถือว่าทำได้เกินคาดมาก และสนใจบริบททางประวัติศาสตร์และความขัดแย้งของอังกฤษและฝรั่งเศสในสมัยนั้น ไปจนถึงรูปแบบการทำสงครามของเหล่าอัศวินที่มีความดิบ เรียล ก็สามารถลองรับชมกันดูได้ทาง Netflix ครับ
The King Netflix รีวิว ตัวอย่างหนัง
ติดตามบทความทั้งหมดของผู้เขียนคลิกที่นี่
Reference Website