รีวิว Zero to Hero Netflix หนังฮ่องกง สร้างจากเรื่องจริงของ โซ้ว หว่าไหว นักวิ่งเหรียญทองพาราลิมปิก
Zero to Hero
สรุป
หนังแนวให้แรงบันดาลใจที่อ้างอิงจากเรื่องจริงของ โซ้ว หว่าไหว นักวิ่งพาราลิมปิกจากฮ่องกงผู้ครองสถิติเร็วสุดตลอดกาล หนังให้กำลังใจที่เล่าเรื่องเป็นเส้นตรง แต่ก็ดูเพลินๆได้ดี
Overall
7/10User Review
( votes)Pros
- นักแสดงเล่นดี
- ประเด็นของหนังมีพลังดี
- เป็นหนังให้กำลังใจที่ดี
Cons
- หนังเดินเรื่องเป็นสูตรสำเร็จ ไม่มีอะไรแปลกใหม่
- ครึ่งหลังมีช่วงเนือยพอสมควร
Zero to Hero Netflix รีวิว หนังฮ่องกง ที่สร้างจากเรื่องจริงของ โซ้ว หว่าไหว นักกีฬาวิ่งพาราลิมปิกของฮ่องกงคนแรกที่ชนะเลิศได้แชมป์เหรียญทองในการแข่งขันวิ่งในพาราลิมปิก ซึ่งเป็นโอลิมปิกสำหรับคนพิการ และยังเป็นผู้ครองสถิติวิ่งเร็วที่สุดจนถึงปัจจุบัน
จัดว่าเป็นหนังกึ่งชีวประวัติแนวให้แรงบันดาลใจจากเรื่องจริง หนังมีความยาว 1.30 ชม. แล้วยังได้เข้าฉายในงาน Far East Film Festival ครั้งที่ 23 สามารถรับชมได้เลยใน Netflix
ตัวอย่าง Zero to Hero 2021 Trailer
Zero to Hero เรื่องย่อ
หนังกึ่งชีวประวัติของ โซ้ว หว่าไหว เด็กหนุ่มที่เกิดมาในครอบครัวชนชั้นแรงงานที่ยากจนในฮ่องกง แล้วมีปัญหาทางสมองตั้งแต่เล็ก ทำให้เขากลายเป็นเด็กพิการ โดยเฉพาะมีปัญหาเรื่องการเดิน ทำให้แม่ของเขาต้องใช้วิธีบังคับและพยายามให้เขาเดินให้ได้
กระทั่งวันหนึ่งเธอได้เห็นว่าลูกชายของเธอมีความสามารถในการวิ่งที่เร็วกว่าเด็กวัยรุ่นวัยเดียวกัน เธอเลยตัดสินใจที่จะพาลูกของเธอไปเข้าแข่งขันวิ่ง แต่แล้วจับพลัดจับผลูไปเข้าตาของ โค้ชฟง ซึ่งเป็นโค้ชให้นักกีฬาพิการประเภทกรีฑา ชีวิตของหนุ่มน้อย โซ้ว หว่าไหว เลยได้เข้าสู่วงการนักวิ่งตั้งแต่นั้น
Zero to Hero รีวิว
ภาพยนตร์เรื่องนี้ออกแนวกึ่งชีวประวัติที่ต้องการให้กำลังใจและสร้างแรงบันดาลใจให้กับผู้มีปัญหาความพิการทางร่างกายที่อ้างอิงจากเรื่องราวจริงๆของ โซ้ว หว่าไหว นักกีฬาพาราลิมปิกจากฮ่องกง ซึ่งครองสถิติวิ่งเร็วที่สุดในโลก
ตัวหนังจะบอกเล่าตั้งแต่ช่วงแรกเกิดที่กว่างโจว กระทั่งชีวิตวัยเด็กที่แม่ของเขาต้องหิบหิ้วกระเตงมาอยู่ด้วยในที่ทำงาน ซึ่งหนังมีการนำเสนอภาพความยากลำบากและการใช้ชีวิตที่อยู่ภายใต้ความกดดันออกมาได้สมจริงดี รวมถึงวิธีการที่ผู้เป็นแม่ต้องการผลักดันให้ลูกเดินได้ ซึ่งค่อนข้างรุนแรงอยู่ไม่น้อย แต่ก็ถือว่าเป็นอะไรที่ดูเรียลดีสำหรับชีวิตคน
นักแสดงหลักได้ อู๋จวินหรู นักแสดงหญิงรุ่นใหญ่ที่เคยมีผลงานดังๆในสมัยก่อนและคนไทยน่าจะคุ้นตากันบ้างมาเล่นบทอาคิน ผู้เป็นแม่ ส่วนตัวเอกได้ ชุงเหลิง นักแสดงหนุ่มหน้าใหม่มาเล่นบทโซ้ว หว่าไหว ซึ่งก็แสดงออกมาเป็นคนพิการทางสมองได้ดีในระดับหนึ่งเลย
หนังมาแนวสูตรสำเร็จของหนังประเภทกึ่งชีวประวัติที่จะพาให้เรารู้จักตัวละคร รวมถึงผู้คนที่อยู่ข้างกายในระดับหนึ่ง จากนั้นก็พาเข้าสู่เส้นทางของการเป็นนักกีฬา ซึ่งหนังนำเสนอได้กระชับ รวดเร็ว ไม่เยิ่นเย้อเกินไปในการพาตัวเอกเข้าสู่วงการนักวิ่ง และนำเสนอวิธีการซ้อมสุดโหดต่างๆที่เกิดขึ้นจริง เมื่อผู้ชมได้ดูแล้วอาจจะรู้สึกว่า ต้องทำถึงขนาดนี้เลยหรือ แต่สำหรับสังคมที่หากไม่สู้ยิบตาก็ยากที่จะไต่เต้าขึ้นมาได้นั้น ก็ถือว่าเป็นเรื่องของชีวิตจริงๆ ดี
สำหรับพาร์ทของการแข่งขัน ทำออกมาได้สนุก น่าลุ้น ซึ่งตรงนี้หนังเข้าใจทำที่เอาฉากการแข่งที่ตัวเอกประสบความสำเร็จได้เหรียญทองครั้งแรกจากการแข่งวิ่งผลัดมาไว้ตั้งแต่กลางเรื่อง จากนั้นจึงค่อยเล่าเรื่องต่อว่า แม้เขาจะได้เหรียญทองมาครอง แต่ชีวิตความเป็นอยู่ก็ใช่ว่าจะดีขึ้นเลยทันที ครอบครัวของเขาก็ยังมีฐานะยากจน ยังต้องใช้ชีวิตอยู่ในตึกแถวเหมือนเดิม เพียงแต่มีโอกาสเพิ่มขึ้นมาจากรายได้ช่องทางอื่นๆเช่น จากสปอนเซอร์ หรืองานต่างๆ ที่ตัวแทนนักกีฬารับเข้ามา
ข้อด้อยของหนังคือ พาร์ทช่วงครึ่งหลังที่นำเสนอความดราม่าเข้ามาค่อนข้างเยอะ ทำให้จังหวะหนังหน่วงและเนือยไปบ้าง แต่ก็ถือว่าเป็นส่วนที่จำเป็นของเนื้อเรื่อง และการเดินเรื่องก็เป็นลักษณะเส้นตรงที่เรียกว่าตรงจ๋าจริงๆ ไม่ได้มีชั้นเชิงอะไร คือดูแล้วได้ฟีลเหมือนดูหนังชีวประวัติที่ถ่ายทำกันในสมัยก่อน ตรงนี้ก็เลยอาจจะรู้สึกว่าหนังดูธรรมดาไปนิด
แต่จุดหนึ่งที่หนังทำได้เรียลก็คือการที่มันนำเสนออย่างตรงไปตรงมาเลยว่า ช่วงชีวิตนักกีฬาโดยเฉพาะประเภทกีฬาที่จะสร้างความสำเร็จด้จากการลงแข่งขันในรายการใหญ่ๆ โดยเฉพาะพวกนักกีฬาพาราลิมปิก มีช่วงให้กอบโกยเงินทองเพียงสั้นๆ ระยะเวลาหนึ่งเท่านั้น สุดท้ายแล้วหลายคนก็ต้องรีไทร์จากการแข่งขันแล้วไปหางานทำ ซึ่งหนังใส่ประเด็นพวกนี้เข้ามาอย่างสมจริงด้วย แสดงให้เราเห็นว่า อาชีพนักกีฬา โดยเฉพาะในสมัย 20 กว่าปีก่อน โอกาสกอบโกยเงินทองมันสั้นแค่ไหน
“แม่รู้ว่าเป็นคนพิการมันยากลำบาก แต่เป็นแม่คนพิการก็ลำบากเหมือนกัน”
นี่คือประโยคที่น่าจะเป็นคีย์หลักของภาพยนตร์ทั้งเรื่องเลยก็ว่าได้ ซึ่งหนังก็นำเสนออกมาได้เห็นภาพแบบนั้นจริงๆ หรือถ้าเราจะบอกว่า ตัวเอกแท้จริงอีกคนหนึ่งของเรื่องนี้ก็คือ “แม่” นั่นเอง
สำหรับสถิติ 24.65 วินาที ที่เขาทำไว้ในปี 2008 ในการแข่งขันพาราลิมปิกที่กรุงปักกิ่ง ในปัจจุบันนี้ก็ยังไม่มีใครทำลายลงได้ ถือว่าเป็นหนังแนวสร้างแรงบันดาลใจที่ดูได้เพลินๆ และมีความดราม่าสมจริงในชีวิตนักกีฬาคนพิการที่เล่าออกมาได้ไม่โลกสวยเกินไปดี
แล้วก็มีจุดที่น่าเสียดายนิดหน่อย คือประเด็นที่หลิวเต๋อหัว ซูปเปอร์สตาร์ฮ่องกงเป็นคนช่วยเหลือการเงินให้โซ้วหว่าไหวและครอบครัวกว่า หนึ่งแสนเหรียญ มาตั้งแต่ปี 1996 เป็นระยะเวลากว่า 20 ปี เพื่อให้เขาสามารถพัฒนาฝีเท้าขึ้นได้นั้น ไม่ได้ถูกใส่เข้ามาในหนังด้วย อาจเพราะตัวหลิวเต๋อหัวไม่ต้องการเข้ามาเอาหน้าในเรื่องนี้มากนัก แม้ว่าเรื่องราวนี้จะถูกเปิดเผยออกมาในปี 2016 ก็ตามที
ในภาพรวมแล้วเป็นหนังแนวให้แรงบันดาลใจที่อ้างอิงจากเรื่องจริงได้ดี แม้ว่าการเล่าเรื่องจะเป็นเส้นตรงและเป็นสูตรสำเร็จไปบ้างก็ตาม
ติดตามบทความทั้งหมดของผู้เขียนคลิกที่นี่
Reference Website